วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

การเตรียมน้ำเลี้ยงปลาหมอสี

         
           ก่อนอื่นเราต้องมาศึกษาสภาพน้ำของบ้านเราเสียก่อนครับว่า สภาพน้ำเราเป็นอย่างไร ควรจะปรับปรุงหรือมีการเตรียมน้ำอย่างไรให้เหมาะสมกับการเลี้ยงปลาตัวโปรดของเรายังไงให้ปลอดภัยหลายคนอาจมองข้ามเรื่องของน้ำในการเลี้ยงปลาแต่เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากเพราะมันอาจจะทำให้ปลาตัวโปรดของคุณอายุสั้นได้โดนไม่ตั้งใจนะครับ
          สภาพน้ำที่ตัวผมเองเคยเจอมามี 4 ลักษณะเป็นส่วนใหญ่คือ
1.น้ำประปา (ประปานครหลวง)
2.น้ำธรรมชาติ
3.น้ำบาดาล
4. น้ำฝน
น้ำที่ใช้เลี้ยงปลาสวยงามมาจากหลายแหล่งด้วยกัน   การเลือกใช้จะขึ้นกับความสะดวก   ปริมาณ   วัตถุประสงค์ของการเลี้ยงกับความเหมาะสมในการจัดหา  
             เราลองมาดูน้ำแต่ละประเภทนะครับว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไร
น้ำประปา   เป็นน้ำที่ผู้เลี้ยงปลาสวยงามส่วนใหญ่ใช้เลี้ยงปลากันมากที่สุด   โดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้เลี้ยงที่อยู่ตามอาคารบ้านเรือน   ทำให้สามารถจัดหาได้ง่าย   และประการที่สำคัญคือ  น้ำประปาจัดว่าเป็นน้ำที่มีความเหมาะสมสำหรับเลี้ยงปลาสวยงามได้เป็นอย่างดี   เพราะจากขบวนการของการผลิตน้ำประปา   ได้เน้นที่มีความใสสะอาดเพื่อการอุปโภค   และบริโภคของมนุษย์   จึงต้องนำเอาน้ำที่มีคุณภาพดีมาผลิต   รวมทั้งต้องมีการฆ่าเชื้อโรค   จึงทำให้น้ำประปามีความปลอดภัยจากเรื่องโรคพยาธิที่จะมากับน้ำได้   นอกจากนั้นน้ำประปาส่วนใหญ่ยังมีการใช้ปูนขาวช่วยปรับสภาพความเป็นกรดด่างของน้ำ     ทำให้น้ำมีความกระด้างและมีความเป็นกรดด่างที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของปลา   สรุปได้ว่าข้อดีของน้ำประปาในการเลี้ยงปลาสวยงาม คือ   ใส   ปราศจากโรคพยาธิ   และมีคุณสมบัติเหมาะสม
                แต่น้ำประปาก็มีปัญหาบางประการในการใช้ คือ   น้ำประปาที่พึ่งเปิดออกจากท่อประปามาใหม่ๆนั้น   จะมีปัญหาที่สำคัญ 3 ประการ คือ
                 - ปริมาณของคลอรีน   ซึ่งใช้ในการฆ่าเชื้อโรคในขบวนการผลิต   จะยังคงเหลือตกค้างอยู่ในน้ำ   ซึ่งมักจะมีความเข้มข้นอยู่ประมาณ  0.5 - 2.0 มิลลิกรัมต่อลิตร(ppm)   หากปล่อยปลาลงเลี้ยงทันที   หรือเปิดใส่ให้ปลาทันทีทันใด   ปริมาณของคลอรีนที่มีอยู่ในน้ำจะมีผลทำให้ปลาตาย   ซึ่งเป็นปัญหาที่พบกันอยู่เสมอ   ดังนั้นหากต้องการนำน้ำประปาไปใช้เลี้ยงปลาสวยงาม   จะต้องทำการกำจัดคลอรีนที่ตกค้างออกก่อน  ดังนี้
(1)   รองน้ำประปาใส่ภาชนะทิ้งไว้   ควรเป็นภาชนะปากกว้าง เช่น โอ่งน้ำ หรือถัง       ไฟเบอร์   ปล่อยไว้ประมาณ 2 - 3 วัน   ถ้าสามารถตั้งให้รับแสงแดดจะใช้เวลา 1 - 2 วัน   คลอรีนจะระเหยออกจากน้ำหมดไปเอง
(2)   รองน้ำประปาใส่ภาชนะโดยทำให้น้ำกระจายตัวออกให้มากที่สุด   ซึ่งทำได้โดยการปล่อยน้ำผ่านฝักบัว  หรือใช้สายยางต่อจากปลายก๊อกแล้วบีบปลายสายยางให้น้ำกระจายออก   หรือใช้เศษท่อเอสล่อนสั้นๆเจาะรูหลายๆรูต่อปลายสายยางแทนฝักบัว   ปล่อยน้ำให้ตกเหนือปากภาชนะ   การที่พยายามทำให้น้ำกระจายตัว   จะช่วยไล่คลอรีนออกจากน้ำไปได้มากจากนั้นปล่อยน้ำไว้ประมาณ 24 ชั่วโมง   คลอรีนจะระเหยหมดไป
(3)   รองน้ำประปาใส่ภาชนะ   แล้วใช้เครื่องให้อากาศ (Air  Pump) ปั๊มอากาศผ่านหัวทรายเป็นฟอง   ซึ่งจะทำให้น้ำเกิดการหมุนเวียนตลอดเวลาด้วย   วิธีนี้จะใช้เวลาเพียง 4 - 6 ชั่วโมง  แล้วแต่ความแรงของเครื่องให้อากาศ   คลอรีนจะระเหยหมดไป
(4)   ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้น้ำประปาอย่างเร่งด่วน  จะต้องใช้สารเคมีใส่ลงไปเพื่อทำปฏิกริยาเคมีทำให้คลอรีนที่ตกค้างอยู่หมดไป   สารเคมีที่จะใช้จะต้องไม่มีผลตกค้างหรือก่อผลข้างเคียงอย่างอื่นอีก   ซึ่งสารเคมีที่นิยมใช้ทำปฏิกริยากับคลอรีนในน้ำประปาในปัจจุบันได้แก่ สารโซเดียมไธโอซัลเฟต (Na2S2O3 . 5H2O) สารนี้มีลักษณะเป็นเกล็ดยาวและเป็นเหลี่ยมผลึกใส  เวลาใส่ลงในน้ำจะให้ความเย็น   เมื่อละลายลงในน้ำที่มีคลอรีนจะเกิดปฏิกริยากับคลอรีนทันที   ดังสมการต่อไปนี้
                Cl2   +  2 Na2S2O3 .5H2O        Na2S4O6   +    2 NaCl   +   10 H2O
            สารโซเดียมไธโอซัลเฟตสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายเครื่องมือวิทยาศาสตร์ หรือร้านขายปลาสวยงาม อัตราการใช้โดยทั่วไปจะใช้ปริมาณ1เกล็ด(เม็ด) ต่อน้ำ 5 ลิตร หรือตู้ปลาขนาด 18 นิ้ว จะใส่ 6 เม็ด และตู้ปลาขนาด 24 นิ้วจะใส่ 10 เม็ด
            - การสะสมก๊าซภายในน้ำ น้ำประปาที่ถูกส่งจากสำนักงานประปาไปตามท่อเพื่อส่งไปยังสถานที่ต่างๆนั้น ในระหว่างที่น้ำไหลไปตามท่อจะเกิดแรงดันทำให้มีก๊าซต่างๆถูกสะสมอยู่ในน้ำเป็นจำนวนมาก จะสังเกตได้ว่าเมื่อเปิดน้ำประปาใส่ภาชนะสักครู่จะมีฟองอากาศเกิดขึ้น โดยเกิดเป็นฟองอากาศเม็ดเล็กๆเกาะอยู่ตามผนังภาชนะ ถ้าเป็นตู้กระจกจะสังเกตได้ชัดเจนมาก แรงดันของก๊าซที่สะสมในน้ำประปานี้จะมีผลต่อปลา โดยจะไปทำให้กล้ามเนื้อของปลาเกิดการขยายตัว กล้ามเนื้อส่วนใดที่อ่อนจะถูกดันให้เกิดการขยายตัวได้ง่าย เช่นที่บริเวณท้องและบริเวณกล้ามเนื้อตาของปลา จึงมักทำให้ปลาเสียการทรงตัวแล้วตาย หรือทำให้ปลาตาปูดโปนออกมา ทำให้ปลามีอาการอักเสบที่ตาแล้วปลามักจะตาบอด วิธีการกำจัดก๊าซที่สะสมในน้ำทำได้ไม่ยากนัก คือในขณะรองน้ำประปาใส่ภาชนะพยายามให้น้ำมีการกระจายตัวออกให้มากที่สุด โดยการเปิดผ่านฝักบัวหรือบีบสายยางฉีดน้ำเหนือภาชนะตลอดเวลา จากนั้นอาจใช้เครื่องให้อากาศปั๊มอากาศเป็นฟองหมุนเวียนอยู่ประมาณ 30 - 60 นาที ก็จะกำจัดก๊าซต่างๆออกได้หมด
            - ความเป็นกรดของน้ำประปา จากขบวนการผลิตน้ำประปาจะมีการใช้สารส้ม เพื่อทำให้เกิดการจับตัวของตะกอนและสารแขวนลอยต่างๆ จากนั้นจึงไปผ่านระบบกรองเพื่อทำให้น้ำใส ผลของการใช้สารส้มจะทำให้น้ำมีคุณสมบัติเป็นกรด ถึงแม้ในระบบการผลิตน้ำประปาจะมีการใช้ปูนขาวเพื่อปรับระดับความเป็นกรดให้มีค่าต่ำลง จนอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมต่อผู้บริโภคและไม่น่าจะเป็นอันตรายต่อปลา แต่จากประสบการณ์ที่เคยใช้น้ำประปาเลี้ยงปลาสวยงามและเลี้ยงปลาทดลองต่างๆ พบว่าน้ำประปาที่ผ่านการดำเนินการกำจัดคลอรีนและก๊าซต่างๆแล้ว ในบางครั้งจะยังเกิดปัญหาทำให้ปลาตายได้ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าน้ำยังมีสภาพความเป็นกรดเหลืออยู่ แสดงว่าการผลิตน้ำประปาในบางครั้งอาจใส่ปูนขาวไม่มากพอที่จะปรับความเป็นกรดให้อยู่ในระดับปกติได้ จำเป็นที่ผู้เลี้ยงปลาสวยงามจะต้องหาทางป้องกันไว้ โดยการเติมปูนขาว หรือปูนแดง(ปูนที่ใช้กินหมาก) ประมาณ 1 ใน 3 ช้อนชา ต่อน้ำ 100 ลิตร ลงในถังพักน้ำ

น้ำธรรมชาติ  เป็นน้ำจากแม่น้ำ ลำคลอง หนอง บึง อ่างเก็บน้ำ หรือจากระบบชลประทาน ผู้เลี้ยงปลาสวยงามที่เน้นดำเนินกิจการเป็นฟาร์มเพาะเลี้ยงปลาสวยงามเป็นหลักจำเป็นต้องใช ้เพราะส่วนใหญ่ในแต่ละวันต้องใช้น้ำในปริมาณที่มาก เนื่องจากมีพื้นที่มาก คือ อาจมีทั้งบ่อซีเมนต์ และบ่อดิน โดยทั่วไปน้ำประเภทนี้จะไม่ใส แต่เป็นน้ำที่มีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับการดำรงชีพของปลา ซึ่งปัญหาที่พบในการใช้น้ำธรรมชาติคือ
             - อาจมีโรคหรือพยาธิติดมากับน้ำ   โดยเฉพาะพวกพยาธิภายนอก  เช่น  เห็บปลา   หนอนสมอ   ปลิงใส   และเห็บระฆัง   ซึ่งมักจะทำลายเนื้อเยื่อปลา   แล้วมีผลทำให้ปลาเกิดโรคระบาดติดตามมา   วิธีการแก้ไขทำได้โดยการใช้ระบบบ่อกรองน้ำ   โดยน้ำธรรมชาติที่จะนำเข้ามาใช้ควรนำไปผ่านบ่อกรองน้ำลักษณะซึมบ่อทราย  หรือระบบบ่อกรองน้ำ    ก็จะสามารถป้องกันพยาธิภายนอกไว้ได้   นอกจากนั้นในช่วงฤดูหนาวซึ่งมักเกิดโรคระบาดปลา   หรือในบริเวณนั้นมีฟาร์มสัตว์น้ำค่อนข้างมาก   ก็อาจมีการระบาดของโรคต่างๆมากับน้ำได้   ต้องทำการแก้ไขโดยใช้บ่อพักน้ำ   คือน้ำจากบ่อกรองจะยังไม่นำไปใช้โดยทันที   แต่ควรนำไปเก็บไว้ในบ่อพักน้ำประมาณ 5 - 7 วัน  จะทำให้ตัวอ่อนของโรคต่างๆที่ติดมาตายไป   ก็จะนำไปใช้ได้อย่างปลอดภัย   
                - น้ำขุ่น ในช่วงต้นฤดูฝนจะมีการชะล้างหน้าดินจากน้ำฝนลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ   น้ำจะมีตะกอนขุ่นข้นจนไม่สามารถนำไปเลี้ยงปลาได้   วิธีการแก้ไขก็โดยการใช้บ่อกรองน้ำเช่นกัน   แต่จะต้องหมั่นทำความสะอาดวัสดุกรองบ่อยๆ   เพราะปริมาณตะกอนจะค่อนข้างมาก
                 - ปริมาณน้ำไม่เพียงพอ   ฟาร์มปลาสวยงามที่อยู่ในเขตชลประทาน   หรือใช้แหล่งน้ำขนาดเล็ก   มักประสบปัญหาขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง   โดยเฉพาะในช่วงปลายฤดูแล้งซึ่งเป็นช่วงเหมาะสำหรับการเพาะและอนุบาลลูกปลา   ควรที่จะต้องมีบ่อพักน้ำเพื่อสำรองน้ำเก็บไว้

น้ำบาดาล เป็นน้ำใต้ดินที่ถูกนำขึ้นมาใช้   เหมาะสำหรับฟาร์มปลาสวยงามที่มีกิจการไม่มากนัก   หรือรังปลา(ร้านขายส่งปลา)   ซึ่งมักตั้งอยู่แถวชานกรุงเทพฯ   จะมีการใช้น้ำในปริมาณค่อนข้างมากในแต่ละวันเช่นกัน   ถึงแม้ว่าจะมีน้ำประปาส่งไปถึง   แต่การแก้ไขปัญหาในน้ำประปาที่จำเป็นต้องใช้เป็นปริมาณมากในแต่ละวันนั้นทำได้ยาก   จึงจำเป็นต้องนำน้ำบาดาลเข้ามาใช้   คุณสมบัติของน้ำบาดาลนั้นจะใสและสะอาดเช่นเดียวกับน้ำประปา   อีกทั้งยังไม่มีคลอรีนตกค้างอยู่ในน้ำ   แต่น้ำบาดาลก็มีปัญหาที่ต้องพิจารณาดังนี้
              - ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด น้ำบาดาลจะมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ค่อนข้างมาก   และจะไม่มีออกซิเจนละลายอยู่เลย   หากนำไปใช้เลี้ยงปลาสวยงามทันทีจะทำให้ปลาตายได้   วิธีการแก้ไขคือใช้บ่อหรือถังพักน้ำขนาดไม่ใหญ่มากนัก   เมื่อสูบน้ำบาดาลขึ้นมาจะปล่อยลงถังพัก   โดยปล่อยน้ำให้มีการกระจายตัวมากที่สุด   ซึ่งวิธีที่นิยมใช้คือใช้ฝักบัว   และให้ฝักบัวอยู่สูงจากปากถังพักน้ำพอควร   ในระหว่างที่น้ำกระจายตัวออกจากฝักบัวก่อนตกลงที่ผิวน้ำในถังพัก   ก็จะรับออกซิเจนจากอากาศละลายเข้าไปในน้ำ   ในขณะเดียวกันจะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีอยู่ระเหยออกสู่อากาศ   น้ำบาดาลในถังพักจะสามารถปล่อยไปเลี้ยงปลาสวยงามได้ทันที   จึงไม่ต้องเสียเวลารอพักน้ำบาดาล
                 - คุณสมบัติของน้ำบาดาล  ถึงแม้น้ำบาดาลโดยทั่วไปจะมีคุณสมบัติเหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของปลา   แต่น้ำบาดาลในบางพื้นที่อาจมีคุณสมบัติไม่เหมาะสม   ทำให้ปลาเจริญเติบโตช้าหรือไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้   คุณสมบัติที่สำคัญของน้ำบาดาลที่พบว่าอาจก่อปัญหาให้แก่ปลา   ได้แก่   ความเป็นกรดด่าง(pH)   และความเค็ม   ดังนั้นก่อนดำเนินการเจาะและติดตั้งเครื่องเพื่อการใช้น้ำบาดาล   ควรมีการเจาะน้ำเพื่อตรวจสอบความเป็นกรดด่าง   และความเค็มของน้ำก่อน   เมื่อพบว่าไม่มีผลต่อปลาจึงค่อยดำเนินการถาวร
                 สำหรับการใช้น้ำบาดาลในปัจจุบันมักก่อให้เกิดปัญหาแผ่นดินทรุด   จึงมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการใช้น้ำบาดาล   ผู้ที่จะดำเนินการเจาะบ่อน้ำบาดาลจะต้องขออนุญาตจากกรมทรัพยากรน้ำบาดาลก่อน   มิฉะนั้นจะมีความผิดทางกฎหมาย

น้ำฝน   ในสมัยก่อนนิยมใช้น้ำฝนในการเลี้ยงปลาสวยงาม   เนื่องจากถือว่าเป็นน้ำที่มีคุณภาพดีมาก   มีความใสสะอาดจนสามารถบริโภคได้   แต่ในปัจจุบันมีปัญหามลพิษทางอากาศเนื่องจากความเจริญของบ้านเมือง   ก่อปัญหาการปนเปื้อนของสารพิษต่างๆในอากาศค่อนข้างมาก  ทำให้น้ำฝนจะมีการซึมซับสารพิษต่างๆไว้ในขณะที่ตกลงมา   มีผลทำให้น้ำฝนมีคุณสมบัติเป็นกรดค่อนข้างรุนแรง   การใช้น้ำฝนเลี้ยงปลาสวยงามในปัจจุบันจึงมักทำให้ปลาตาย   หรือมีสีสันซีดลง   ยกเว้นถ้ารองน้ำฝนในวันที่มีฝนตกหนัก   และรองภายหลังจากที่ฝนตกไปแล้วระยะหนึ่ง   จึงอาจนำน้ำฝนนั้นมาเลี้ยงปลาได้    แต่ถ้าหากไม่มีความจำเป็นก็ไม่ควรเสี่ยงที่จะนำน้ำฝนมาใช้เลี้ยงปลา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น