สภาพน้ำที่ตัวผมเองเคยเจอมามี 4 ลักษณะเป็นส่วนใหญ่คือ
1.น้ำประปา (ประปานครหลวง)
2.น้ำธรรมชาติ
3.น้ำบาดาล
4. น้ำฝน
น้ำที่ใช้เลี้ยงปลาสวยงามมาจากหลายแหล่งด้วยกัน การเลือกใช้จะขึ้นกับความสะดวก ปริมาณ วัตถุประสงค์ของการเลี้ยงกับความเหมาะสมในการจัดหา
เราลองมาดูน้ำแต่ละประเภทนะครับว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไร
น้ำประปา เป็นน้ำที่ผู้เลี้ยงปลาสวยงามส่วนใหญ่ใช้เลี้ยงปลากันมากที่สุด โดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้เลี้ยงที่อยู่ตามอาคารบ้านเรือน ทำให้สามารถจัดหาได้ง่าย และประการที่สำคัญคือ น้ำประปาจัดว่าเป็นน้ำที่มีความเหมาะสมสำหรับเลี้ยงปลาสวยงามได้เป็นอย่างดี เพราะจากขบวนการของการผลิตน้ำประปา ได้เน้นที่มีความใสสะอาดเพื่อการอุปโภค และบริโภคของมนุษย์ จึงต้องนำเอาน้ำที่มีคุณภาพดีมาผลิต รวมทั้งต้องมีการฆ่าเชื้อโรค จึงทำให้น้ำประปามีความปลอดภัยจากเรื่องโรคพยาธิที่จะมากับน้ำได้ นอกจากนั้นน้ำประปาส่วนใหญ่ยังมีการใช้ปูนขาวช่วยปรับสภาพความเป็นกรดด่างของน้ำ ทำให้น้ำมีความกระด้างและมีความเป็นกรดด่างที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของปลา สรุปได้ว่าข้อดีของน้ำประปาในการเลี้ยงปลาสวยงาม คือ ใส ปราศจากโรคพยาธิ และมีคุณสมบัติเหมาะสม
แต่น้ำประปาก็มีปัญหาบางประการในการใช้ คือ น้ำประปาที่พึ่งเปิดออกจากท่อประปามาใหม่ๆนั้น จะมีปัญหาที่สำคัญ 3 ประการ คือ
- ปริมาณของคลอรีน ซึ่งใช้ในการฆ่าเชื้อโรคในขบวนการผลิต จะยังคงเหลือตกค้างอยู่ในน้ำ ซึ่งมักจะมีความเข้มข้นอยู่ประมาณ 0.5 - 2.0 มิลลิกรัมต่อลิตร(ppm) หากปล่อยปลาลงเลี้ยงทันที หรือเปิดใส่ให้ปลาทันทีทันใด ปริมาณของคลอรีนที่มีอยู่ในน้ำจะมีผลทำให้ปลาตาย ซึ่งเป็นปัญหาที่พบกันอยู่เสมอ ดังนั้นหากต้องการนำน้ำประปาไปใช้เลี้ยงปลาสวยงาม จะต้องทำการกำจัดคลอรีนที่ตกค้างออกก่อน ดังนี้
(1) รองน้ำประปาใส่ภาชนะทิ้งไว้ ควรเป็นภาชนะปากกว้าง เช่น โอ่งน้ำ หรือถัง ไฟเบอร์ ปล่อยไว้ประมาณ 2 - 3 วัน ถ้าสามารถตั้งให้รับแสงแดดจะใช้เวลา 1 - 2 วัน คลอรีนจะระเหยออกจากน้ำหมดไปเอง
(2) รองน้ำประปาใส่ภาชนะโดยทำให้น้ำกระจายตัวออกให้มากที่สุด ซึ่งทำได้โดยการปล่อยน้ำผ่านฝักบัว หรือใช้สายยางต่อจากปลายก๊อกแล้วบีบปลายสายยางให้น้ำกระจายออก หรือใช้เศษท่อเอสล่อนสั้นๆเจาะรูหลายๆรูต่อปลายสายยางแทนฝักบัว ปล่อยน้ำให้ตกเหนือปากภาชนะ การที่พยายามทำให้น้ำกระจายตัว จะช่วยไล่คลอรีนออกจากน้ำไปได้มากจากนั้นปล่อยน้ำไว้ประมาณ 24 ชั่วโมง คลอรีนจะระเหยหมดไป
(3) รองน้ำประปาใส่ภาชนะ แล้วใช้เครื่องให้อากาศ (Air Pump) ปั๊มอากาศผ่านหัวทรายเป็นฟอง ซึ่งจะทำให้น้ำเกิดการหมุนเวียนตลอดเวลาด้วย วิธีนี้จะใช้เวลาเพียง 4 - 6 ชั่วโมง แล้วแต่ความแรงของเครื่องให้อากาศ คลอรีนจะระเหยหมดไป
(4) ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้น้ำประปาอย่างเร่งด่วน จะต้องใช้สารเคมีใส่ลงไปเพื่อทำปฏิกริยาเคมีทำให้คลอรีนที่ตกค้างอยู่หมดไป สารเคมีที่จะใช้จะต้องไม่มีผลตกค้างหรือก่อผลข้างเคียงอย่างอื่นอีก ซึ่งสารเคมีที่นิยมใช้ทำปฏิกริยากับคลอรีนในน้ำประปาในปัจจุบันได้แก่ สารโซเดียมไธโอซัลเฟต (Na2S2O3 . 5H2O) สารนี้มีลักษณะเป็นเกล็ดยาวและเป็นเหลี่ยมผลึกใส เวลาใส่ลงในน้ำจะให้ความเย็น เมื่อละลายลงในน้ำที่มีคลอรีนจะเกิดปฏิกริยากับคลอรีนทันที ดังสมการต่อไปนี้
Cl2 + 2 Na2S2O3 .5H2O
Na2S4O6 + 2 NaCl + 10 H2O

สารโซเดียมไธโอซัลเฟตสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายเครื่องมือวิทยาศาสตร์ หรือร้านขายปลาสวยงาม อัตราการใช้โดยทั่วไปจะใช้ปริมาณ1เกล็ด(เม็ด) ต่อน้ำ 5 ลิตร หรือตู้ปลาขนาด 18 นิ้ว จะใส่ 6 เม็ด และตู้ปลาขนาด 24 นิ้วจะใส่ 10 เม็ด
- การสะสมก๊าซภายในน้ำ น้ำประปาที่ถูกส่งจากสำนักงานประปาไปตามท่อเพื่อส่งไปยังสถานที่ต่างๆนั้น ในระหว่างที่น้ำไหลไปตามท่อจะเกิดแรงดันทำให้มีก๊าซต่างๆถูกสะสมอยู่ในน้ำเป็นจำนวนมาก จะสังเกตได้ว่าเมื่อเปิดน้ำประปาใส่ภาชนะสักครู่จะมีฟองอากาศเกิดขึ้น โดยเกิดเป็นฟองอากาศเม็ดเล็กๆเกาะอยู่ตามผนังภาชนะ ถ้าเป็นตู้กระจกจะสังเกตได้ชัดเจนมาก แรงดันของก๊าซที่สะสมในน้ำประปานี้จะมีผลต่อปลา โดยจะไปทำให้กล้ามเนื้อของปลาเกิดการขยายตัว กล้ามเนื้อส่วนใดที่อ่อนจะถูกดันให้เกิดการขยายตัวได้ง่าย เช่นที่บริเวณท้องและบริเวณกล้ามเนื้อตาของปลา จึงมักทำให้ปลาเสียการทรงตัวแล้วตาย หรือทำให้ปลาตาปูดโปนออกมา ทำให้ปลามีอาการอักเสบที่ตาแล้วปลามักจะตาบอด วิธีการกำจัดก๊าซที่สะสมในน้ำทำได้ไม่ยากนัก คือในขณะรองน้ำประปาใส่ภาชนะพยายามให้น้ำมีการกระจายตัวออกให้มากที่สุด โดยการเปิดผ่านฝักบัวหรือบีบสายยางฉีดน้ำเหนือภาชนะตลอดเวลา จากนั้นอาจใช้เครื่องให้อากาศปั๊มอากาศเป็นฟองหมุนเวียนอยู่ประมาณ 30 - 60 นาที ก็จะกำจัดก๊าซต่างๆออกได้หมด
- ความเป็นกรดของน้ำประปา จากขบวนการผลิตน้ำประปาจะมีการใช้สารส้ม เพื่อทำให้เกิดการจับตัวของตะกอนและสารแขวนลอยต่างๆ จากนั้นจึงไปผ่านระบบกรองเพื่อทำให้น้ำใส ผลของการใช้สารส้มจะทำให้น้ำมีคุณสมบัติเป็นกรด ถึงแม้ในระบบการผลิตน้ำประปาจะมีการใช้ปูนขาวเพื่อปรับระดับความเป็นกรดให้มีค่าต่ำลง จนอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมต่อผู้บริโภคและไม่น่าจะเป็นอันตรายต่อปลา แต่จากประสบการณ์ที่เคยใช้น้ำประปาเลี้ยงปลาสวยงามและเลี้ยงปลาทดลองต่างๆ พบว่าน้ำประปาที่ผ่านการดำเนินการกำจัดคลอรีนและก๊าซต่างๆแล้ว ในบางครั้งจะยังเกิดปัญหาทำให้ปลาตายได้ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าน้ำยังมีสภาพความเป็นกรดเหลืออยู่ แสดงว่าการผลิตน้ำประปาในบางครั้งอาจใส่ปูนขาวไม่มากพอที่จะปรับความเป็นกรดให้อยู่ในระดับปกติได้ จำเป็นที่ผู้เลี้ยงปลาสวยงามจะต้องหาทางป้องกันไว้ โดยการเติมปูนขาว หรือปูนแดง(ปูนที่ใช้กินหมาก) ประมาณ 1 ใน 3 ช้อนชา ต่อน้ำ 100 ลิตร ลงในถังพักน้ำ
น้ำธรรมชาติ เป็นน้ำจากแม่น้ำ ลำคลอง หนอง บึง อ่างเก็บน้ำ หรือจากระบบชลประทาน ผู้เลี้ยงปลาสวยงามที่เน้นดำเนินกิจการเป็นฟาร์มเพาะเลี้ยงปลาสวยงามเป็นหลักจำเป็นต้องใช ้เพราะส่วนใหญ่ในแต่ละวันต้องใช้น้ำในปริมาณที่มาก เนื่องจากมีพื้นที่มาก คือ อาจมีทั้งบ่อซีเมนต์ และบ่อดิน โดยทั่วไปน้ำประเภทนี้จะไม่ใส แต่เป็นน้ำที่มีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับการดำรงชีพของปลา ซึ่งปัญหาที่พบในการใช้น้ำธรรมชาติคือ
- อาจมีโรคหรือพยาธิติดมากับน้ำ โดยเฉพาะพวกพยาธิภายนอก เช่น เห็บปลา หนอนสมอ ปลิงใส และเห็บระฆัง ซึ่งมักจะทำลายเนื้อเยื่อปลา แล้วมีผลทำให้ปลาเกิดโรคระบาดติดตามมา วิธีการแก้ไขทำได้โดยการใช้ระบบบ่อกรองน้ำ โดยน้ำธรรมชาติที่จะนำเข้ามาใช้ควรนำไปผ่านบ่อกรองน้ำลักษณะซึมบ่อทราย หรือระบบบ่อกรองน้ำ ก็จะสามารถป้องกันพยาธิภายนอกไว้ได้ นอกจากนั้นในช่วงฤดูหนาวซึ่งมักเกิดโรคระบาดปลา หรือในบริเวณนั้นมีฟาร์มสัตว์น้ำค่อนข้างมาก ก็อาจมีการระบาดของโรคต่างๆมากับน้ำได้ ต้องทำการแก้ไขโดยใช้บ่อพักน้ำ คือน้ำจากบ่อกรองจะยังไม่นำไปใช้โดยทันที แต่ควรนำไปเก็บไว้ในบ่อพักน้ำประมาณ 5 - 7 วัน จะทำให้ตัวอ่อนของโรคต่างๆที่ติดมาตายไป ก็จะนำไปใช้ได้อย่างปลอดภัย
- น้ำขุ่น ในช่วงต้นฤดูฝนจะมีการชะล้างหน้าดินจากน้ำฝนลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ น้ำจะมีตะกอนขุ่นข้นจนไม่สามารถนำไปเลี้ยงปลาได้ วิธีการแก้ไขก็โดยการใช้บ่อกรองน้ำเช่นกัน แต่จะต้องหมั่นทำความสะอาดวัสดุกรองบ่อยๆ เพราะปริมาณตะกอนจะค่อนข้างมาก
- ปริมาณน้ำไม่เพียงพอ ฟาร์มปลาสวยงามที่อยู่ในเขตชลประทาน หรือใช้แหล่งน้ำขนาดเล็ก มักประสบปัญหาขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง โดยเฉพาะในช่วงปลายฤดูแล้งซึ่งเป็นช่วงเหมาะสำหรับการเพาะและอนุบาลลูกปลา ควรที่จะต้องมีบ่อพักน้ำเพื่อสำรองน้ำเก็บไว้
น้ำบาดาล เป็นน้ำใต้ดินที่ถูกนำขึ้นมาใช้ เหมาะสำหรับฟาร์มปลาสวยงามที่มีกิจการไม่มากนัก หรือรังปลา(ร้านขายส่งปลา) ซึ่งมักตั้งอยู่แถวชานกรุงเทพฯ จะมีการใช้น้ำในปริมาณค่อนข้างมากในแต่ละวันเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะมีน้ำประปาส่งไปถึง แต่การแก้ไขปัญหาในน้ำประปาที่จำเป็นต้องใช้เป็นปริมาณมากในแต่ละวันนั้นทำได้ยาก จึงจำเป็นต้องนำน้ำบาดาลเข้ามาใช้ คุณสมบัติของน้ำบาดาลนั้นจะใสและสะอาดเช่นเดียวกับน้ำประปา อีกทั้งยังไม่มีคลอรีนตกค้างอยู่ในน้ำ แต่น้ำบาดาลก็มีปัญหาที่ต้องพิจารณาดังนี้
- ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด น้ำบาดาลจะมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ค่อนข้างมาก และจะไม่มีออกซิเจนละลายอยู่เลย หากนำไปใช้เลี้ยงปลาสวยงามทันทีจะทำให้ปลาตายได้ วิธีการแก้ไขคือใช้บ่อหรือถังพักน้ำขนาดไม่ใหญ่มากนัก เมื่อสูบน้ำบาดาลขึ้นมาจะปล่อยลงถังพัก โดยปล่อยน้ำให้มีการกระจายตัวมากที่สุด ซึ่งวิธีที่นิยมใช้คือใช้ฝักบัว และให้ฝักบัวอยู่สูงจากปากถังพักน้ำพอควร ในระหว่างที่น้ำกระจายตัวออกจากฝักบัวก่อนตกลงที่ผิวน้ำในถังพัก ก็จะรับออกซิเจนจากอากาศละลายเข้าไปในน้ำ ในขณะเดียวกันจะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีอยู่ระเหยออกสู่อากาศ น้ำบาดาลในถังพักจะสามารถปล่อยไปเลี้ยงปลาสวยงามได้ทันที จึงไม่ต้องเสียเวลารอพักน้ำบาดาล
- คุณสมบัติของน้ำบาดาล ถึงแม้น้ำบาดาลโดยทั่วไปจะมีคุณสมบัติเหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของปลา แต่น้ำบาดาลในบางพื้นที่อาจมีคุณสมบัติไม่เหมาะสม ทำให้ปลาเจริญเติบโตช้าหรือไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ คุณสมบัติที่สำคัญของน้ำบาดาลที่พบว่าอาจก่อปัญหาให้แก่ปลา ได้แก่ ความเป็นกรดด่าง(pH) และความเค็ม ดังนั้นก่อนดำเนินการเจาะและติดตั้งเครื่องเพื่อการใช้น้ำบาดาล ควรมีการเจาะน้ำเพื่อตรวจสอบความเป็นกรดด่าง และความเค็มของน้ำก่อน เมื่อพบว่าไม่มีผลต่อปลาจึงค่อยดำเนินการถาวร
สำหรับการใช้น้ำบาดาลในปัจจุบันมักก่อให้เกิดปัญหาแผ่นดินทรุด จึงมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการใช้น้ำบาดาล ผู้ที่จะดำเนินการเจาะบ่อน้ำบาดาลจะต้องขออนุญาตจากกรมทรัพยากรน้ำบาดาลก่อน มิฉะนั้นจะมีความผิดทางกฎหมาย
น้ำฝน ในสมัยก่อนนิยมใช้น้ำฝนในการเลี้ยงปลาสวยงาม เนื่องจากถือว่าเป็นน้ำที่มีคุณภาพดีมาก มีความใสสะอาดจนสามารถบริโภคได้ แต่ในปัจจุบันมีปัญหามลพิษทางอากาศเนื่องจากความเจริญของบ้านเมือง ก่อปัญหาการปนเปื้อนของสารพิษต่างๆในอากาศค่อนข้างมาก ทำให้น้ำฝนจะมีการซึมซับสารพิษต่างๆไว้ในขณะที่ตกลงมา มีผลทำให้น้ำฝนมีคุณสมบัติเป็นกรดค่อนข้างรุนแรง การใช้น้ำฝนเลี้ยงปลาสวยงามในปัจจุบันจึงมักทำให้ปลาตาย หรือมีสีสันซีดลง ยกเว้นถ้ารองน้ำฝนในวันที่มีฝนตกหนัก และรองภายหลังจากที่ฝนตกไปแล้วระยะหนึ่ง จึงอาจนำน้ำฝนนั้นมาเลี้ยงปลาได้ แต่ถ้าหากไม่มีความจำเป็นก็ไม่ควรเสี่ยงที่จะนำน้ำฝนมาใช้เลี้ยงปลา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น