วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ปลาหมอสี หรือ Flower Horn ฟลาวเวอร์ฮอร์น





ปลาหมอสี หรือ Flower Horn ฟลาวเวอร์ฮอร์น วันนี้มีเทคนิคการเลี้ยงปลาหมอสี การเพาะปลาหมอสี ปลาที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนี้
                ปลาหมอสี เป็นปลาที่กำลังเป็นที่นิยมของนักเลี้ยงปลาบ้านเรา แรกทีเดียวก่อนที่จะเข้ามาสู่ตลาดเอเชียนั้น ได้รับความสนใจและนิยมเลี้ยงกันในแถบอเมริกา ยุโรปกันก่อนแล้ว เพราะเป็นปลาตู้ที่เลี้ยงง่าย มีสีสันโดดเด่น สวยงาม และแปลกตาแหล่งกำเนิด ปลาหมอสี ปลาหมอสีมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ตามลุ่มน้ำหรือทะเลสาบในต่างประเทศ มีนิสัยค่อนข้างรักถิ่นฐาน หากมีปลาอื่นบุกรุกเข้ามาในเขตของมัน มันก็จะขับไล่ผู้บุกรุกออกไป อาหาร ปลาหมอสี ปลาหมอสีสามารถปรับตัวได้ดีกินอาหารได้ทุกประเภท แต่ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนผสมไขมันจากเนื้อสัตว์ เพราะไขมันจะไปทำลายตับของปลาเหล่านี้ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปลาที่เลี้ยงตาย ฉะนั้นอาหารที่ใช้เลี้ยงควรมีส่วนผสมที่ใกล้เคียงกับอาหารธรรมชาติมากที่สุด ปลาหมอสีกินพืช ควรเลี้ยงอาหารปลากินพืช พวกปลากินสัตว์ เช่น กุ้ง ไรน้ำเค็ม หรืออาหารสำเร็จรูปที่ใช้เลี้ยงกับอาหารสำเร็จรูปที่ใช้โดยทั่วไปควรมีส่วนประกอบของกากถั่ว กุ้ง สาหร่ายเกลียวทอง ปริมาณอาหารไม่ควรให้เกินความต้องการของปลา จะทำให้ปลาอ้วนและอ่อนแอ ในกรณีเลี้ยงเพื่อการเพาะพันธุ์ ถ้าให้อาหารมากเกินไปจะทำให้ปลาไม่มีไข่และน้ำเชื้อ ธรรมชาติของปลาหมอสีเป็นปลาที่อดทน สามารถอดอาหารนับสิบวัน หากท่านไม่อยู่บ้าน 5 - 10 วัน ปลาก็สามารถอยู่ได้อย่างปกติ แม้ว่าในแหล่งน้ำธรรมชาติมีอาหารจำกัด โดยเฉพาะแม่ปลาที่ฟักไข่ด้วยปาก ต้องอมไข่จนไข่ฟักเป็นตัว และอมต่อไปจนกระทั่งลูกปลาสามารถว่ายน้ำออกจากปาก เพื่อหากินอาหารต่อไป ซึ่งใช้เวลาอีก 15-20 วัน ในระยะนี้แม่ปลาจะไม่กินอาหารใดๆ ทั้งสิ้น สายพันธุ์ ปลาหมอสี ปลาหมอสีสกุลแอริสโทโครมิส ปลาหมอสีสกุลออโลโนคารา ปลาหมอสีสกุลโคพาไดโครมิส ปลาหมอสีสกุลลาบิโอโทรเฟียส การเพาะเลี้ยงปลาหมอสี ปลาหมอสีเป็นปลาสวยงามอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่น จากนักเลี้ยงปลาทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่นเป็นงานอดิเรกถึงแม้ว่าปลากลุ่มนั้นส่วนใหญ่เป็นปลานำเข้าจากทวีปแอฟริกา ทวีปอเมริกาใต้และกลุ่มประเทศอเมริกากลาง จัดอยู่ในวงศ์ชิลคลิดี การแพร่กระจายของปลาวงศ์นี้ขึ้นอยู่กับความแตกต่างของสิ่งแวดล้อมดังเช่น ลักษณะภูมิประเทศประกอบด้วยทะเลสาบ แม่น้ำลำธาร หนองบึง จึงส่งผลให้ปลามีความหลากหลายทั้งชนิด สายพันธุ์ รูปร่าง และการดำรงชีวิต ซึ่งมีทั้งปลาบริโภคและปลาสวยงาม ได้แก่ ปลานิล ปลาหมอเทศ ปลาปอมปาดัวร์ ปลาเทวดา ปลาออสการ์ ฯลฯ ปลาเหล่านี้สามารถปรับตัวได้ดี จัดเป็นปลาเลี้ยงง่าย หลักทั่วไปใน การเลี้ยง ปลาหมอสี
1. น้ำต้องสะอาดไม่ควรมีเชื้อโรค ห้ามใช้น้ำประปาที่เปิดจากก๊อกน้ำโดยตรง เฉพาะคลอรีนและปูนที่อยู่ในน้ำจะฆ่าปลาได้ในเวลาอันรวดเร็วควรพักน้ำประปาไว้สัก 2-3 วันจึงนำมาใช้
2. ใช้เครื่องกรองน้ำซึ่งหาซื้อได้ตามร้านทั่วไปเลือกให้เหมาะกับขนาดของตู้
3. ขนาดของตู้เลี้ยงควรจะใหญ่สักหน่อย ถ้าเลี้ยงพวกหมอสีพันธุ์เล็ก ความยาวของตู้ไม่ควรต่ำกว่า 24 นิ้ว ถ้าเป็นพันธุ์ใหญ่ก็ไม่ควรต่ำกว่า 36 นิ้ว ควรมีสัก 2 ตู้ เพื่อเป็นตู้พักปลา 1 ตู้ ตู้เลี้ยง 1 ตู้
4. อาหารปลาหมอสีกินอาหารสำเร็จรูปได้ดี ซึ่งเราหาซื้อได้ทั่วไปแต่ถ้าที่บ้านใกล้แหล่งเพาะยุงหรือใกล้บริเวณที่มีลูกน้ำลูกไรมาก และหาได้สะดวกก็ให้ลูกน้ำ ลูกไร เป็นอาหารจะดีมากทั้งประหยัดเงินและมีอาหารที่มีคุณค่าดี
5. ก้อนหิน ก้อนกรวด พันธุ์ไม้น้ำที่เราคิดว่าจะจัดลงไปในตู้นั้นควรจะทำความสะอาดให้ดี ก้อนหินก็ควรจะแช่น้ำลดความเป็นด่างลงพันธุ์ไม้น้ำก็ควรจะพักไว้ในถังหรือตู้อื่นๆ รอจนมันฟื้นตัวได้แล้วค่อยนำมาจัดในตู้
6. ตู้ปลาควรจะตั้งอยู่ใกล้กับที่พักน้ำเพื่อเปลี่ยนน้ำในตู้ปลาได้สะดวก ปัญหานี้ดูเหมือนเล็กแต่ก็มีหลายๆรายที่เลิกเลี้ยงปลา เพราะต้องเปลี่ยนน้ำในตู้ปลาบางรายถึงขั้นทะเลาะกันเพราะเกี่ยงกันเปลี่ยนน้ำตู้ปลา บางรายถูกคำสั่งห้ามเลี้ยงหลังจากการเปลี่ยนน้ำตู้ปลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เพราะขณะเปลี่ยนน้ำตู้ปลาบริเวณระหว่างที่พักน้ำกับตู้ปลาจะกลายเป็นเขตอันตรายสูงสุดต่อชีวิตของคนแก่และเด็ก รวมทั้งสตรีมีครรภ์ไปในทันที การลื่นหกล้มในบริเวณนี้จะเกิดขึ้นบ่อยมาก
7. เวลา ถ้าคุณต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้าครึ่งและกลับถึงบ้านประมาณไม่ถึงสี่ทุ่มดีในวันปกติ วันเสาร์ต้องตื่นสิบโมงเช้าเพื่อนอนชดเชยพอตื่นก็ต้องทำงานบ้านจิปาถะที่ค้างตั้งแต่จันทร์-ศุกร์ แล้วก็ขอแนะนำว่าไปปลูกต้นไม้ดีกว่าเพราะปลาที่คุณเลี้ยงไว้นั้นมันพากันตายหมดแล้ว ก่อนเลี้ยงปลาต้องถามตัวเองก่อนว่ามีเวลาไหม และคนรอบข้างจะยินดีไหมที่คุณจะเลี้ยงปลา เพราะคนรอบข้างนั้นก็คือคนงานของคุณขณะเปลี่ยนน้ำตู้ปลา ถ้าเกิด คนงานสไตรท์ขณะเปลี่ยนน้ำไปได้ครึ่งเดียว ภาระทั้งหมดก็จะอยู่ที่คุณคนเดียวจริงๆ เมื่อหลัก 7 ประการนี้คุณแก้ปัญหาได้แล้ว คราวนี้ก็เริ่มลงมือเลี้ยงกันได้ สมมุติว่าตู้ปลาจัดตกแต่งเรียบร้อยแล้ว ตำราก็อ่านแล้วมีความมั่นใจ 100% ถุงใส่ปลาถูกแกะออกปลาฝูงแรกถูกปล่อยลงตู้แล้วทุกตัวพร้อมใจกันว่ายเข้าหาที่ซ่อน ไม่ต้องตกใจนั่นเป็นสัญญาณของปลา สักครู่ตัวที่กล้าหน่อยหรือตกใจน้อยหน่อยจะเริ่มว่ายน้ำสำรวจที่อยู่อาศัยใหม่ ตัวอื่นๆก็จะตามมาที่มีนิสัยรวมฝูงก็จะรวมกัน บางตัวก็ว่ายเที่ยวแล้วแต่ชนิดและนิสัยของแต่ละตัวไม่ต้องให้อาหารวันที่สองเมื่อปลาส่วนใหญ่สงบลงแล้วเริ่มให้อาหารเล็กน้อยเป็นอาหารมีชีวิตได้ก็ดีถ้าไม่มีอาหารเม็ดก็ได้ ให้น้อยๆดูจนกว่าปลาจะกินอาหารเม็ดหมด ทิ้งไว้สัก 2-3 ชั่วโมง ถ้ามีเศษอาหารเหลือก็ให้ตักออกทิ้งไป สัปดาห์แรกผ่านไปคุณจะรู้สึกว่าตัวเองกะประมาณอาหารที่ให้ปลาได้ดีขึ้น อาหารที่ให้ไม่ค่อยเหลือซึ่งจะดีมากน้ำจะใสไม่เสีย ถ้ามีปลาตายก็รีบตักออกไปจากตู้โดยเร็ว สังเกตุด้วยว่าตายสภาพอย่างไร ถ้าครีบขาดรุ่งริ่งแสดงว่ามันกัดกัน แยกตัวที่ก้าวร้าวออกไปใส่ไว้ในตู้พักปลา ถ้าภายในสภาพตัวยังสมบูรณ์ก็เกิดจากหลายสาเหตุ และตายติดต่อกันทุกวันก็ต้องเปิดตำราและถามผู้รู้แล้วละ สัปดาห์ที่สอง-สาม-สี่ ปลาก็จะเริ่มคุ้นกับคุณแล้วละมันจะเริ่มมาหาคุณไม่กลัวคุณ ยิ่งคุณอยู่ดูมันมากเท่าใดมันก็จะยิ่งคุ้นกับคุณมากขึ้นเท่านั้น การสื่อสารระหว่างคุณกับปลาก็จะยิ่งรู้เรื่องกันมากขึ้น

การเพาะเลี้ยงไรแดง(อนุบาลลูกปลาหมอสี)

การเพาะพันธุ์ปลา กุ้งก้ามกราม ในสมัยก่อน คือประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา มักจะพบปัญหาสำคัญยิ่งประการหนึ่งคือ ลูกปลาลูกกุ้งวัยอ่อนที่มีอายุย่างเข้าวันที่ 3 มักจะมีอัตราการตายสูง แม้จะมีความพยายามคิดค้นหาอาหารสำหรับสัตว์น้ำวัยอ่อนพวกนี้ โดยใช้ไข่แดงต้มสุกละลายน้ำหรือนมผงมาเลี้ยงแล้วก็ตาม แต่ปัญหาที่ว่านั้นก็เพียงแต่ทุเลาเบาบางลงเท่านั้น ไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างสมบูรณ์ เพราะอาหารเหล่านั้นมีคุณค่าทางอาหารไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ และทำให้เกิดน้ำเสียขึ้นอีกต่างหาก หรือให้แล้วลูกสัตว์น้ำไม่ยอมรับ

ต่อมาจึงมีนักเพาะเลี้ยงที่มีวิสัยทัศน์ล้ำหน้าคนอื่น ไปรวบรวมไรแดงจากแหล่งน้ำเสียต่างๆ ในชุมชนแออัด และเล้าไก่ เล้าหมูที่มีบ่อพักน้ำเสียอยู่ มาใช้เป็นอาหารเลี้ยงลูกสัตว์น้ำวัยอ่อนเหล่านี้ ก็สามารถแก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังคงมีข้อจำกัดหรืออุปสรรคอยู่บ้างตรงที่ปริมาณไรแดงมีมากบ้าง น้อยบ้าง หรือหาแทบไม่ได้เลยในบางฤดูกาล

นักวิชาการของกรมประมงที่เข้าใจปัญหาและความยุ่งยากนี้ดีบางท่าน เช่น คุณวีระ วัชรกรโยธิน คุณสันทนา ดวงสวัสดิ์ คุณภาณุ เทวรัตน์มณีกุล และ คุณสำรวย เสร็จกิจ จึงคิดค้นวิธีการเพาะเลี้ยงไรแดงขึ้นเพื่อแก้ปัญหานี้จนประสบความสำเร็จ และกรมประมงก็ได้เผยแพร่เอกสารวิชาการนี้ให้แก่ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทั่วประเทศมานับ 10 ปีเศษแล้ว แต่ความรู้นี้อาจจะยังเผยแพร่ไปไม่ถึงทั่วทุกคน ผมจึงนำมาเล่าต่อไว้ในที่นี้ เพื่อประโยชน์ของนักเพาะพันธุ์สัตว์น้ำทุกคน

ชีววิทยาของไรแดงเป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราเมื่อจะทำธุรกิจในเรื่องใดก็ควรที่จะทำความรู้จักกับสิ่งนั้นๆ ก่อน เพื่อนำมาพิจารณาว่าเหมาะกับความรู้ความสามารถและฐานะทางการเงินของตนหรือไม่ เข้าทำนอง รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ก็ชนะทั้งร้อยครั้ง นั่นแล

ไรแดง เป็นสัตว์น้ำขนาดจิ๋วจำพวกเดียวกับกุ้ง ปูนั่นเอง ชอบอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืดที่ค่อนข้างสกปรก เช่น แหล่งน้ำตามชุมชนแออัด เล้าหมู เล้าไก่ จัดว่าเป็นอาหารธรรมชาติอย่างดีของลูกปลา ลูกกุ้งวัยอ่อนในแหล่งน้ำธรรมชาติ นับว่าเป็นห่วงโซ่ข้อที่สำคัญมากที่ช่วยเชื่อมต่อให้ลูกสัตว์น้ำต่างๆ ที่จะเริ่มกินอาหารจากภายนอกหลังจากถุงไข่แดงที่แม่ให้มาหมดลง ได้อาศัยเป็นอาหารเลี้ยงตัวให้เติบโตและเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ได้ในที่สุด ถ้าปราศจากไรแดงแล้วลูกสัตว์น้ำคงอดอาหารจนตายไปหมด สัตว์น้ำต่างๆ คงจะต้องสูญพันธุ์ไป และส่งผลมายังห่วงโซ่ข้อสุดท้ายคือ มนุษย์เรา ก็จะขาดสัตว์น้ำเพื่อบริโภคไปด้วย


การสืบพันธุ์ของไรแดง
แม้ว่าจะเป็นสัตว์น้ำขนาดเล็กจิ๋วก็ตามเถอะ แต่ไรแดงก็มีการแยกเพศผู้เพศเมียอย่างชัดเจนเหมือนมนุษย์เรา แต่เพศเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าเพศผู้ ลำตัวอ้วนกลม ขนาดเฉลี่ยประมาณ 1.3 มิลลิเมตร ส่วนเพศผู้จะมีรูปร่างเพรียวค่อนข้างยาว มีขนาดเฉลี่ยประมาณ 0.5 มิลลิเมตรเท่านั้น ในภาวะที่สิ่งแวดล้อมมีความเหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของไรแดง สัดส่วนเพศในประชากรไรแดงจะมีไรแดงเพศผู้เพียง 5% และมีไรแดงเพศเมีย 95% และในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเช่นนี้ ไรแดงจะมีการสืบพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศ ไรแดงเพศเมียจะสร้างไข่ในตัวเอง แล้วไข่สามารถฟักออกเป็นตัวอ่อนได้เลย โดยไม่ต้องผสมพันธุ์กับไรแดงเพศผู้ โดยปกติไรแดงจะมีอายุสั้นมากเพียง 4-6 วัน ก็ตาย แต่แม่ไรแดงสามารถสร้างไข่ตามวิธีนี้ได้เฉลี่ย 3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 19-23 ตัว

แต่เมื่อใดก็ตาม หากสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของไรแดง เช่น อุณหภูมิของน้ำต่ำหรือสูงเกินไป คุณสมบัติของน้ำเป็นกรดหรือด่างมากเกินไป หรืออาหารขาดแคลนลง ไรแดงก็มีกลยุทธ์พิเศษที่จะสามารถฝ่าวิกฤตกาล เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ไว้ในโลกเบี้ยวๆ ใบนี้ได้ด้วยการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศโดยการเพิ่มจำนวนเพศผู้ให้มากขึ้น ส่วนเพศเมียก็จะสร้างไข่ขึ้นอีกชนิดหนึ่ง แล้วผสมพันธุ์กับตัวผู้ ซึ่งในตอนนี้เริ่มมีความสำคัญมากขึ้น จะได้ไข่ที่ผสมน้ำเชื้อแล้วอยู่ในรูปแคปซูลหนา จำนวน 2 ฟอง เมื่อวางไข่แล้วแคปซูลไข่นี้สามารถทนทานต่อความร้อน ความเย็น และความแห้งได้ดีเป็นเวลานานนับปี รอจนกว่าสภาพแวดล้อมคืนสู่ภาวะที่ดีและเอื้อต่อการดำรงชีวิต แคปซูลไข่นี้ก็จะฟักออกเป็นตัวอ่อนแล้วเจริญเติบโตเป็นไรแดงต่อไป



การเพาะเลี้ยงไรแดง1. ปัจจัยสำคัญต่างๆ ในการเพาะเลี้ยงไรแดง1.1 แสงอาทิตย์เป็นผู้ให้พลังงานแก่พืชน้ำขนาดจิ๋วที่เรียกว่าแพลงตอนพืชเพื่อใช้ในกระบวนการสังเคราะห์แสงเพื ่อสร้างเนื้อเยื่อต่างๆ ในการเจริญเติบโตและขยายพันธุ์เพื่อเป็นอาหารของไรแดง

1.2 อากาศ ซึ่งมีส่วนประกอบของไนโตรเจน ออกซิเจน และคาร์บอนไดออกไซด์ ที่จำเป็นต่อพืชน้ำในการสังเคราะห์แสง

1.3 ปุ๋ย หรือธาตุอาหารต่างๆ เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม คาร์บอน แคลเซียม ซิลิคอน ซึ่งจะเป็นปุ๋ยแก่แพลงตอนพืชในกระบวนการสังเคราะห์แสง โดยมีแสงอาทิตย์เป็นผู้ให้พลังงาน ผลที่ได้จากการสังเคราะห์แสงนี้นอกจากพวกแพลงตอนพืชหลากหลายชนิด เช่น พวกยูกลีนา (Euglena) คลอเรลลา (Chlorella spp.) แล้วยังมีพวกแพลงตอนสัตว์ เช่น พวกสัตว์เซลล์เดียวหลายชนิด แม้กระทั่งพวกบัคเตรี ซึ่งมีทั้งแบบที่มีรูปร่างเป็นแท่ง และแบบกลม ซึ่งล้วนแต่เป็นอาหารจานโปรดของไรแดงทั้งสิ้น

2. อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ในการเพาะพันธุ์ไรแดง2.1 บ่อซีเมนต์ และ/หรือบ่อดิน เพื่อใช้เป็นบ่อผลิตบ่อซีเมนต์ ที่เหมาะสมควรมีรูปร่างเป็นรูปไข่ แต่ถ้ามีบ่อซีเมนต์รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าอยู่แล้ว ก็สามารถปรับปรุงได้โดยโบกปูนเพื่อลบเหลี่ยมของมุมบ่อ ทั้งนี้เพื่อให้น้ำภายในบ่อสามารถไหลเวียนได้สะดวก

ขนาดของบ่อซีเมนต์ ขึ้นอยู่กับความต้องการผลผลิตไรแดงเป็นหลัก ตามปกติบ่อซีเมนต์ขนาด 5x10 เมตร ลึก 60 เซนติเมตร จะให้ผลผลิตจากการเพาะพันธุ์ไรแดง รอบละประมาณ 12 กิโลกรัม ในเวลา 7 วัน เราก็สามารถกำหนดขนาด และจำนวนของบ่อซีเมนต์ได้

2.2 เครื่องเป่าลม เพื่อเพิ่มออกซิเจนและช่วยทำให้เกิดการหมุนเวียนของน้ำในบ่อเพาะพันธุ์ไรแดง ปัจจุบันมีผู้สร้างขายแบบเมดอินไทยแลนด์ ราคาตั้งแต่ 2,500-7,500 บาท ต่อเครื่อง แล้วแต่กำลังม้าของมอเตอร์ โดยใช้สายพลาสติคใสอย่างหนา ต่อจากเครื่องเป่าลมให้ยาวถึงก้นบ่อ แล้วใช้ท่อเอสลอนขนาด 6 หุน ยาวเกือบเท่าความยาวของบ่อและเจาะรูด้วยดอกสว่านเบอร์เล็กที่สุด ให้มีระยะห่างของรูประมาณ 50 เซนติเมตร โดยมีฝาปิดปลายท่อด้วย ต่อเข้าไปก็ใช้ได้แล้ว

2.3 ผ้ากรองแพลงตอน ควรใช้ผ้ากรองที่ละเอียดหน่อย คือมีขนาดช่องตาประมาณ 69 ไมครอน เพื่อกรองศัตรูหรือคู่แข่งของไรแดง เช่น ลูกยุง หรือแม้กระทั่งโรติเฟอร์ที่จะมาแย่งอาหารของไรแดง และใช้กรองไรแดงตอนเก็บเกี่ยวผลผลิตด้วย

3. วัสดุที่จำเป็น
3.1 น้ำเขียว ซึ่งมีส่วนประกอบของแพลงตอนพืช เช่น สาหร่ายสีเขียวแกมเหลือง ที่ชื่อคลอเรลล่า (Chlorella sp.) เป็นหลัก ซึ่งอาจจะได้จากการนำเชื้อคลอเรลล่าที่อาจจะขอได้จากสถานีประมงน้ำจืดบางแห่ง เช่น สถานีประมงน้ำจืดปทุมธานี แล้วนำมาขยายพันธุ์โดยมีสูตรของส่วนผสมต่างๆ ที่จะกล่าวถึงต่อไป หรือนำมาจากบ่อเลี้ยงกุ้งเลี้ยงปลาที่มีน้ำเป็นสีเขียวเข้ม โดยใช้เครื่องไดโว่สูบเข้ามาใส่บ่อเพาะไรแดงโดยตรงเลยก็ได้ แต่ต้องไม่ลืมใช้เนื้ออวนมุ้งเขียวห่อหุ้มหัวกระโหลกของท่อดูด และใช้ผ้ากรองแพลงตอนห่อหุ้มหรือเย็บเป็นถุงยาว มัดติดปลายท่อส่งน้ำเข้าบ่อไว้ก็ได้ เพื่อป้องกันศัตรูของไรแดงไม่ให้ติดเข้าบ่อ

3.2 หัวเชื้อไรแดงมีชีวิต ควรคัดเลือกไรแดงที่แข็งแรง มีสีแดงเรื่อๆ มาไว้เป็นพ่อแม่พันธุ์

3.3 อามิ-อามิ เป็นกากที่เกิดขึ้นจากการทำผงชูรสของบริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ ที่เรียกกันตามภาษาวิชาการว่า กลูตามิค มาเทอร์ ลิควิด (Glutamic Mother Liquid) มีชื่อย่อว่า จีเอ็มแอล (GML) ซึ่งประกอบด้วยแร่ธาตุ ไนโตรเจน 4.2% และฟอสฟอรัส 0.2% ซึ่งควรใช้ทั้งน้ำและตะกอนรวมกัน ถ้าใช้แล้วเกิดการตกตะกอนมากเกินไปควรลดปริมาณลงบ้าง เพื่อป้องกันการเน่าเสียของน้ำ

3.4 เอนไซม์ชีวภาพที่มีคุณภาพดี เพื่อช่วยย่อยสลายรำปลาป่น และกากถั่วที่ใช้ในสูตรต่างๆ จะช่วยให้เกิดน้ำเขียวเร็วขึ้นและเข้มข้นขึ้น ซึ่งก็หมายถึงว่าในน้ำเขียวจะมีแร่ธาตุต่างๆ ถูกปลดปล่อยออกมามากขึ้น ส่งผลให้เกิดบัคเตรีและแพลงตอนพืชเพิ่มขึ้นด้วย

3.5 วัสดุผสมของปลาป่น กากถั่ว และรำอ่อน ในอัตราส่วน 2:3:4 โดยน้ำหมักสำหรับใช้แทนอามิ-อามิ

3.6 ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ชนิดต่างๆ

- ปุ๋ยนา สูตร 16-20-0

- ปุ๋ยซุปเปอร์ฟอสเฟต สูตร 0-46-0

- ปุ๋ยยูเรียหรือปุ๋ยน้ำตาล สูตร 46-0-0

ในการใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์เหล่านี้ต้องละลายน้ำให้หมดก่อนใช้ เพื่อป้องกันการตกตะกอนในบ่อเพาะไรแดง

3.7 ปูนขาว ใช้เพื่อปรับระดับความเป็นกรด-ด่าง (พีเอช) ของน้ำในบ่อเพาะไรแดง ให้มีพีเอชประมาณ 8 คือ เป็นด่างเล็กน้อยและเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ ให้แพลงตอนพืชด้วย



4. วิธีการเพาะไรแดงการเพาะไรแดงนั้น มี 2 วิธี คือ แบบต่อเนื่อง และแบบไม่ต่อเนื่อง

4.1 การเพาะแบบต่อเนื่อง

หมายถึงการเพาะไรแดงครั้งหนึ่งๆ แล้วสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตไรแดงได้หลายวันภายในบ่อเดียวกัน ดังนั้น เราจึงต้องเพาะไรแดงครั้งละอย่างน้อย 4 บ่อ พร้อมกัน เพราะการเพาะไรแดงโดยวิธีนี้ต้องคำนึงถึงการปนเปื้อนเข้ามาของศัตรูของไรแดง เพราะเราอาจต้องมีการเติมน้ำเขียวเป็นครั้งคราวเพื่อเป็นการเพิ่มเติมอาหารให้แก่ไรแดง และต้องมีการถ่ายน้ำเก่าออกบ้าง แล้วเติมน้ำใหม่ลงไปทดแทนบ้าง เพื่อลดระดับความเป็นพิษของแอมโมเนียหรือสารพิษอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในบ่อระหว่างการเพาะไรแดง แต่ปัญหาเรื่องความเป็นพิษของแอมโมเนีย หรือสารพิษอื่นๆ นี้ ปัจจุบันสามารถแก้ปัญหาได้โดยการเติมเอนไซม์ชีวภาพลงไปประมาณ 3-5 พีพีเอ็ม (ppm) หรือประมาณ 100 ซีซี หรือครึ่งแก้วน้ำดื่มทั่วไป เพื่อสลายแอมโมเนีย ก็สามารถลดงานและค่าใช้จ่ายลงได้มาก

4.2 การเพาะแบบไม่ต่อเนื่อง

คือการเพาะไรแดงแบบเก็บเกี่ยวผลผลิตเพียงครั้งเดียวให้หมดบ่อเลย การเพาะแบบนี้ต้องใช้บ่อเพาะ 4 บ่อ เช่นเดียวกัน แต่ทยอยเพาะวันละ 1 บ่อ ทุกวัน เพื่อให้มีผลผลิตไรแดงทุกวันอย่างต่อเนื่อง การเพาะแบบนี้จะได้ผลผลิตไรแดงสูงและค่อนข้างแน่นอน ไม่ต้องคำนึงถึงการปนเปื้อนของศัตรูไรแดง และการสะสมของสารพิษที่จะเกิดขึ้น เพราะใช้เวลาสั้นเพียง 6-7 วัน

ในการเพาะไรแดงนั้น มีสูตรการใช้ปุ๋ยและวัสดุประกอบอื่นๆ ที่นักวิชาการได้คิดค้นและทดลองใช้จนได้ผลน่าพอใจอยู่ 3 สูตร สำหรับใช้กับบ่อปูนซีเมนต์ ขนาด 5x10 เมตร ลึก 60 เซนติเมตร ที่ตั้งอยู่กลางแจ้ง ดังนี้

สูตรที่ 1 เติมน้ำสะอาดใส่บ่อให้ระดับความสูงของผิวน้ำประมาณ 20 เซนติเมตร ซึ่งจะได้น้ำปริมาณ 10 ตัน หรือ 10,000 ลิตร แล้วใส่ อามิ-อามิ 5 ลิตร ปุ๋ยนา สูตร 16-20-0 จำนวน 2 กิโลกรัม รำ 5 กิโลกรัม และปูนขาว 3 กิโลกรัม จะได้ผลผลิตไรแดง 11-13 กิโลกรัม ต่อบ่อ

สูตรที่ 2 ใช้อามิ-อามิ 30 ลิตร ปุ๋ยนา สูตร 16-20-0 จำนวน 0.5 กิโลกรัม โพแทสเซียมไนเตรต (KNO3) 1 กิโลกรัม ซุปเปอร์ฟอสเฟต (P2O5) สูตร 0-46-0 จำนวน 130 กรัม จะได้ผลผลิตไรแดง 12-13 กิโลกรัม ต่อบ่อ

สูตรที่ 3 ใช้ อามิ-อามิ 5 ลิตร โพแทสเซียมไนเตรต 0.5 กิโลกรัม ยูเรีย สูตร 46-0-0 จำนวน 0.5 กิโลกรัม ปุ๋ยนา สูตร 16-20-0 จำนวน 1 กิโลกรัม รำ 5 กิโลกรัม ปูนขาว 3 กิโลกรัม จะได้ผลผลิตไรแดง 11-12 กิโลกรัม ต่อบ่อ

ในกรณีที่ไม่ใช้ อามิ-อามิ ให้ใช้วัสดุผสมของปลาป่น กากถั่ว และรำอ่อน ในสัดส่วน 2:3:4 โดยน้ำหนักจำนวน 3-5 กิโลกรัม แทนอามิ-อามิ


ขั้นตอนในการเพาะไรแดง1. การเพาะแบบไม่ต่อเนื่อง

1.1 ทำความสะอาดบ่อซีเมนต์ แล้วตากบ่อไว้ 1 วัน

1.2 เติมน้ำสะอาดลงบ่อพร้อมๆ กับละลายปุ๋ยสูตรใดสูตรหนึ่งที่เลือกไว้ จนได้ระดับน้ำสูง 20 เซนติเมตร

1.3 สูบน้ำเขียวประมาณ 1-2 ตัน (1,000-2,000 ลิตร) ลงในบ่อเพื่อเป็นเชื้อน้ำเขียว ระยะนี้ควรเดินคนน้ำบ่อยๆ เพื่อป้องกันการตกตะกอน หรืออาจใช้วิธีเปิดปั๊มลมในบ่อแทนก็ได้ ให้เวลาแพลงตอนพืชในบ่อขยายพันธุ์เพิ่มขึ้นจนมีสีเขียวเข้มข้น ซึ่งจะใช้เวลา 2-3 วัน แล้วแต่แสงแดดมีมากน้อยแค่ไหน

1.4 เมื่อน้ำเขียวเต็มที่แล้ว นำไรแดงมีชีวิตประมาณ 2 กิโลกรัม มาปล่อยลงในบ่อ ให้เวลาไรแดงเติบโตและขยายพันธุ์สัก 3-4 วัน ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตไรแดงได้ทั้งหมด ประมาณ 12 กิโลกรัม โดยใช้เวลาในการเพาะรอบละประมาณ 7 วัน

2. การเพาะแบบต่อเนื่อง

2.1 เมื่อดำเนินการเพาะแบบไม่ต่อเนื่องมาจนถึงข้อ 1.4 แล้ว เราก็เก็บเกี่ยวผลผลิตของไรแดงขึ้นมาใช้ประโยชน์เพียงครึ่งเดียวของผลผลิตทั้งหมด คือประมาณ 5-6 กิโลกรัม เท่านั้น ส่วนที่เหลือในบ่อเก็บไว้ทำพันธุ์ แล้วต่อเนื่องด้วย

2.2 ถ่ายน้ำเก่าออกครึ่งหนึ่ง ให้เหลือเพียง 10 เซนติเมตร แล้วเติมน้ำสะอาดและน้ำเขียวลงไปอย่างละ 5 เซนติเมตร และเติมสารเอนไซม์ชีวภาพคุณภาพดี ประมาณ 100 ซีซี จะได้ระดับน้ำสูง 20 เซนติเมตร เหมือนเดิม แล้วเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตไรแดงได้ในวันรุ่งขึ้นเพียงครึ่งเดียวของผลผลิตทั้งหมด ทำเช่นนี้ทุกวันจนกว่าผลผลิตไรแดงลดลงอย่างต่อเนื่อง จึงล้างบ่อเพื่อเพาะรอบใหม่ต่อไป ซึ่งผลผลิตของไรแดงทั้งหมดต่อ 1 รอบ จะได้น้ำหนักประมาณ 25 กิโลกรัม ในเวลา 12 วัน หลังจากนี้ควรล้างบ่อ ทำความสะอาดเพื่อเริ่มเพาะรอบใหม่

ปัจจุบัน นักวิชาการของกรมประมงได้คิดค้นและพัฒนาวิธีการเพาะไรแดงแบบต่อเนื่องให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นอีก โดยการทยอยใส่ปุ๋ยอาหารไรแดงและน้ำเป็นระยะๆ ซึ่งจะห่างกัน 3 วัน ดังนี้


1. เตรียมบ่อปูนซีเมนต์ ขนาด 10x5 เมตร ลึก 60 เซนติเมตร โดยทำความสะอาดพื้นบ่อ ตากบ่อ 1 วัน พร้อมติดตั้งท่อลมภายในบ่อให้เรียบร้อย เพื่อใช้ในระหว่างการเพาะไรแดงตลอดเวลา

2. เติมน้ำและปุ๋ยใส่บ่อตามตารางในระยะที่ 1 และใส่น้ำเขียวเพื่อเป็นเชื้อประมาณ 1,000-2,000 ลิตร ส่วนในระยะที่ 2 และ 3 ใส่เฉพาะน้ำและปุ๋ย รวมทั้งปูนขาวตามตาราง โดยไม่ต้องใส่น้ำเขียวอีก

3. เมื่อเติมปุ๋ยและน้ำรวมทั้งปูนขาวตามระยะที่ 3 เสร็จแล้ว เป็นเวลา 3 วัน ก็นำเชื้อไรแดงมาปล่อยลงบ่อ บ่อละ 3-5 กิโลกรัม

4. เมื่อเติมเชื้อไรแดงได้ 3-4 วัน แล้วจะสังเกตเห็นว่า น้ำจะเป็นสีแดงหมดทั้งบ่อ และน้ำมีสีเขียวจางลงมาก แสดงว่าเกิดไรแดงเป็นจำนวนมาก และไรแดงได้กินแพลงตอนพืชสีเขียวในน้ำไปจนเกือบหมดบ่อแล้ว ก็เริ่มเก็บเกี่ยวไรแดงขึ้นมาใช้ได้เป็นระยะๆ จนหมดบ่อ

5. การเพาะไรแดงตามวิธีนี้ จะใช้เวลารอบละประมาณ 12-14 วัน ซึ่งจะให้ผลผลิตไรแดงสูงกว่าวิธีเก่าๆ ที่กล่าวแล้วมาก คือบ่อละ ประมาณ 42-45 กิโลกรัม แต่ถ้าไม่มีเครื่องปั๊มลมให้น้ำในบ่อ ผลผลิตไรแดงจะน้อยลง คือได้บ่อละประมาณ 35-41 กิโลกรัม



เทคนิคที่ควรทราบ1. น้ำที่จะใช้ในบ่อเพาะไรแดง ควรกรองด้วยผ้ากรองเสียก่อนเพื่อป้องกันศัตรูและคู่แข่งของไรแดงในธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่มากมาย เช่น ลูกน้ำ ลูกปลาวัยอ่อนที่มีขนาดเล็ก แมลงน้ำบางชนิด และลูกกุ้ง เป็นต้น

2. น้ำเขียว เปรียบเสมือนเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตของไรแดง ซึ่งมีอาหารของไรแดงอยู่มากมายหลายชนิดอย่างครบถ้วน ตั้งแต่บัคเตรีชนิดต่างๆ แพลงตอนพืช ซึ่งประกอบด้วยสาหร่ายเซลล์เดียวหลากหลายชนิด และสัตว์เซลล์เดียวอีกนับสิบนับร้อยชนิด ซึ่งบางชนิดก็อาจเป็นศัตรูและคู่แข่งของไรแดง เช่น โรติเฟอร์ ซึ่งเป็นคู่แข่งตัวฉกาจที่คอยแย่งอาหารไรแดง ซึ่งบางครั้งการเพาะไรแดงต้องล่ม ไรแดงเกิดน้อยเพราะขาดอาหาร หรือตัวอ่อนของไฮดร้า (Hydra) ที่เมื่อเติบโตขึ้นจะคอยจับไรแดงกินเป็นอาหาร เป็นต้น ดังนั้น ต้องกรองน้ำเขียวด้วยผ้ากรองแพลงตอนเสียก่อนที่จะลงบ่อ

3. เมื่อผลผลิตของไรแดงในบ่อเริ่มลดลง ควรเปลี่ยนน้ำประมาณครึ่งบ่อ แล้วเพิ่มน้ำใหม่ และใส่ปุ๋ยตามสูตรต่างๆ ที่ให้ไว้เพิ่มเติมลงไป จะช่วยให้ไรแดงเพิ่มจำนวน มีความหนาแน่นขึ้นมาได้ในระดับหนึ่ง

4. การให้ออกซิเจนแก่ไรแดงจะช่วยให้ไรแดงขยายพันธุ์ได้รวดเร็วขึ้น เช่นเดียวกับบัคเตรีและสัตว์เซลล์เดียวอื่นๆ ในบ่อเพาะไร

5. การกวนน้ำหรือปั่นน้ำให้ไหลเวียน จะช่วยให้ปุ๋ยหรือแร่ธาตุอาหารของแพลงตอนพืชฟุ้งกระจายวนเวียนอยู่ในน้ำ ไม่ตกตะกอน แพลงตอนพืชก็จะได้ปุ๋ยอย่างต่อเนื่อง และขยายพันธุ์ได้มากและรวดเร็วขึ้น

6. แสงแดดเป็นปัจจัยที่จำเป็นและสำคัญยิ่งต่อการสังเคราะห์แสงของแพลงตอนพืชที่เป็นอาหารหลักของไรแดง ไม่ควรสร้างหลังคาคลุมบ่อ หรือพรางแสงที่จะส่องลงบ่อเพาะไรแดงแต่อย่างใดทั้งสิ้น

7. อุณหภูมิ เป็นปัจจัยสำคัญอีกตัวหนึ่งที่มักจะมาคู่กับแสงแดด อุณหภูมิของน้ำที่สูงพอเหมาะจะช่วยให้ไรแดงสามารถเติบโตได้รวดเร็วขึ้น และช่วยให้เกิดผลผลิตที่สูงภายในระยะเวลาที่สั้นกว่าในน้ำที่มีอุณหภูมิต่ำ

เอาละครับ ผมคิดว่าเทคนิคทั้ง 7 ประการ ที่ผมยกมาให้ทราบนี้ คงพอจะครอบคลุมปัญหาที่ผู้เพาะไรแดงประสบอยู่เสมอๆ ได้ พอสมควรแล้ว ทีนี้ผมจะว่าถึงเรื่องการเก็บรักษาไรแดงให้มีคุณภาพดีและสดอยู่เสมอ เพื่อให้สมกับที่เราสู้อุตส่าห์ลงทุนและยอมเหน็ดเหนื่อยกับการเพาะไรแดงออกมามากมาย ถ้าไม่รู้จักวิธีถนอมคุณภาพให้ดีก็จะเข้าทำนอง เรือล่มเมื่อจอดท่า เหมือนกับการไม่รู้จักถนอมคุณภาพของผลผลิตเกษตรอื่นๆ เช่น พืช ผัก ผลไม้ ไข่ไก่ เนื้อไก่ นั่นแหละ ซึ่งบางครั้งเห็นแล้วนึกเสียดายแทนจริงๆ

สำหรับไรแดง นักวิชาการเขาแนะนำวิธีการเก็บรักษาไว้ดังนี้ครับ
1. วิธีแช่แข็ง

โดยกรองเอาแต่ตัวไรแดงมาบรรจุใส่ถุงพลาสติคขนาดเล็ก ถึงขนาดกลาง กะว่าความเย็นสามารถเข้าถึงไรแดงได้โดยตลอดภายในถุง เข้าตู้แช่ความเย็นจัดทันที จะทำให้สามารถเก็บรักษาไรแดงไว้ได้นาน และยังสดอยู่เสมอแม้ว่าจะเป็นไรแดงที่ตายแล้วก็ตาม ก็สามารถนำไปเป็นอาหารเลี้ยงลูกสัตว์น้ำวัยอ่อนบางชนิดได้ แต่ต้องให้ทีละน้อย เพราะถ้าให้มากเกินไป ลูกสัตว์น้ำกินไม่หมด อาจเน่าทำให้น้ำเสียได้

2. เก็บในอุณหภูมิต่ำ

โดยบรรจุไรแดงมีชีวิตและมีน้ำประมาณ 50% ของปริมาณไรแดงลงในถุง มัดปากถุงให้แน่น แล้วเก็บไว้ในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิ 10 องศาเซลเซียส ไรแดงจะมีชีวิตอยู่ได้นาน 4 วัน ซึ่งในวันที่ 3 ไรแดงจะวางไข่สีขุ่นหรือสีชมพู ซึ่งเป็นไข่ชนิดที่แม่ไรแดงต้องผสมพันธุ์กับพ่อไรแดงเสียก่อน ที่มักจะเกิดขึ้นในยามที่ไรแดงต้องประสบกับสภาพแวดล้อมที่ผิดปกติ เช่น เมื่อน้ำมีอุณหภูมิต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส หรือมีสภาพเป็นกรด-ด่าง ต่ำกว่าหรือสูงกว่า 6 เป็นต้น

ผู้เพาะไรแดงเป็นอาชีพ นอกจากจะรู้วิธีการเก็บรักษาไรแดงแล้ว ยังต้องรู้วิธีการลำเลียงขนส่งไรแดงในสภาพมีชีวิตให้แก่ลูกค้าด้วย เพื่อจะขายได้ราคาดีกว่าไรแดงที่ตายแล้ว ซึ่งนักวิชาการเขาแนะนำไว้ ดังนี้ครับ

ขนส่งไรแดงโดยการทำให้ไรแดงสลบหรืออยู่ในสภาพซึมเซา เพื่อลดกระบวนการเผาผลาญพลังงานในตัวเอง โดยนำไรแดงแช่ในน้ำเย็นจัด หรือน้ำแข็งละลายน้ำสัก 1-2 วินาที แล้วรีบบรรจุในถุงพลาสติคที่มีน้ำสะอาด วางอยู่ในภาชนะที่มีน้ำแข็งโรยและกลบถุงไว้โดยรอบ แล้วนำส่งลูกค้า วิธีนี้นับว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด

2. สำหรับการขนส่งในระยะทางไม่ไกลนัก ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2-3 ชั่วโมง ควรใช้วิธีบรรจุในถุงที่มีน้ำสะอาดแล้วอัดออกซิเจนเหมือนการบรรจุลูกปลา แล้วใช้น้ำแข็งโรยรอบๆ ถุง ขนส่งโดยใช้รถยนต์ปรับอากาศ หรือหากไม่มีน้ำแข็งก็ไม่ต้องใช้ถ้าระยะทางไม่ไกลนัก เพียงแค่ขนส่งโดยรถยนต์ปรับอากาศก็พอใช้ได้

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เกลือสำคัญไฉนในการเลี้ยงปลาหมอสี

เกลือๆๆๆ ใครๆ ก็ใช้เกลือ หันไปทางไหนก็เกลือ ทำไมเลี้ยงปลาต้องใช้เกลือ มือเก่า มือใหม่ รู้ไว้ไม่เสียหาย
   ร้านขายปลา เซียนเลี้ยงปลา ฟาร์มปลา ไม่ว่าใครๆ เมื่อถามถึงการเลี้ยงปลาว่าต้องใช้สิ่งใดประกอบการเลี้ยงบ้าง ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ถ่ายน้ำต้องใส่เกลือ ใส่เยอะบ้าง น้อยบ้าง ใส่เกลือชนิดนั้นชนิดนี้ แต่รู้หรือไม่ บางครั้งเกลือเป็นอะไรที่มากกว่าแค่การใส่เพราะว่าเขาบอกมาว่าจะดี มีประโยชน์อะไรบ้าง ลองมาดูกันครับ อาจจะทำให้บางท่านคิดเปลี่ยนไป มองเปลี่ยนไปในการใช้หรือเทคนิคการใช้ แต่อยากให้เปลี่ยนไปในทางที่ดี เข้าใจมากขึ้น ไม่ได้หมายถึงผมจะรู้เรื่องมากกว่า แต่ผมพยายามรวบรวมมาจากประสบการณ์ และความรู้ที่ได้พบเจอมา 

อันดับแรก เกลือคืออะไร
   เกลือ คือ สารให้ความเค็มอาจจะเกิดจากสารอะไรได้หลายอย่างแต่เกลือที่ใช้ใน
การเลี้ยงสัตว์น้ำหรือที่ใช้ในการประกอบอาหารของมนุษย์นั้นคือ เกลือแกง ชื่อนี้
หมายรวมถึงเกลือจากทุกแหล่งที่มีส่วนประกอบเป็น โซเดียม (Na) และคลอไรด์ (Cl)
 เช่นที่มาจาก น้ำทะเล หรือเกลือสินเธาว์ ที่เราคุ้นเคยล้วนเป็นเกลือแกงทั้งสิ้น
 


เราควรใช้เกลือขนาดไหนถึงจะดี ?
     ไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัวครับว่าจะใช้เกลือเท่าไหร่ถึงจะดี เพราะหากจะเอาตามหลักวิชาการเป๊ะ ก็คงต้องดูถึงแหล่งที่มาของน้ำที่ใช้ในการเลียงด้วยครับ ส่วนใหญ่แล้วจะใช้การประมาณเอาจากความเคยชิน ประสบการณ์ และสภาพปลาที่เลี้ยง การใช้เกลืออาจจะแบ่งออกได้ง่ายๆเป็น 2 กรณี คือ
      1. ใช้เพื่อให้ปลาสบายตัวลดความเครียด กรณีนี้อัตราส่วนการใช้ก็ตั้งแต่ 1 ppm ไปจนถึง 3 ppt เอากันตามหลักวิชาการเลยว่างั้น เพราะในน้ำประปาทั่วไปปรมาจารย์ด้านคุณภาพน้ำกล่าวไว้ว่า แทบไม่ต้องใส่เกลืออีกแล้วหากมีน้ำถ่ายอย่างเสมอๆ ยกตัวอย่างการเลี้ยงรันชูที่ถ่ายน้ำกันทุกวัน หรือใส่แค่เพื่อเพิ่มอิออน ในน้ำเท่านั้น แต่ในการเลี้ยงบางกรณีที่เป็นระบบปิดนานๆถึงจะถ่ายน้ำซักครั้ง มักใส่เพื่อผลอย่างอื่นด้วยนั่นคือ การลดความเป็นพิษจากของเสียต่างๆ แบบนี้จะต้องใส่มากขึ้นมาอีกถึง 3 ppt แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะดีเสมอไป เพราะเกลือที่เพิ่มขึ้นหมายถึงร่างกายปลาที่รับภาระมากขึ้นด้วยเช่นกัน
     2. ใช้เพื่อรักษาโรค หรือใช้เพื่อกำจัดจุลชีพอื่นๆ กรณีนี้ใส่กันได้แบบกระหน่ำใส่แล้วแต่ชนิดปลา ถ้าปลาทนๆหน่อย อย่างหมอสี ใส่กันถึง 10-12 ppt ก็บ่ยั่น แต่กับปลาทอง 10 ppt ก็น่าหวาดเสียวแล้วครับ หลักเกณฑ์ง่ายๆ และเป็นสากลในการกำจัดปรสิตภายนอกด้วยเกลืออยู่ที่ระดับความเค็ม 5-7 ppt แช่ไปนานทั้งสัปดาห์แล้วค่อยถ่ายน้ำเลยครับ แต่ทั้งนี้ดูอาการง่ายๆ 3-4 วันเข้าไปแล้วเจ้าเชื้อโรค ปรสิตต่างๆที่เกาะอยู่ยังไม่ไปไหนก็หาวิธีอื่นรักษาได้แล้วครับ ก่อนที่จะเสียใจ และเสียดาย

เกลือที่ดีคือเกลือแบบไหน
      เป็นคำถามยอดฮิตที่หลายๆคนต้องการรู้เพราะอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ปลาที่รัก คำตอบคือเกลือที่มีแร่ธาตุครบถ้วนที่สุดแต่มีของเสียและสารพิษน้อยที่สุดครับ ดังนั้นการหาเกลือเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องเกินไปเลยลองมาดูตารางเปรียบเทียบง่ายๆด้านล่างนี้นะครับ ขอบอกนิดนึงครับ นี่เป็นตารางเปรียบเทียบในกรณีที่ใช้เกลือในการเลี้ยงปลาน้ำจืดนะครับ เพราะการเลี้ยงปลาทะเลจะใช้เกณฑ์ตัดสินคนละเรื่องกันเลย
          เกลือที่คนส่วนใหญ่นิยมใช้กันในการเลี้ยงปลาตู้นั้น มักบอกต่อว่าเกลือทะเลเป็นเกลือที่ดีที่สุด จากตารางจะเห็นว่ามีแร่ธาตุสมบูรณ์แต่ติดที่มีของเสียเยอะ และหากเป็นเกลือที่ได้จากนาเกลือที่ใกล้โรงงาน สารพิษเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย แต่ถึงกระนั้นหากเทียบราคาและความคุ้มค่าที่จะใช้แล้ว การเลือกใช้เกลือทะเลที่มั่นใจได้จะเป็นทางออกที่ดี ส่วนเกลือสินเธาว์หรือเกลือปรุงอาหารตามบ้านนั้นใช้ได้อย่างไม่มีข้อสงสัย และหากใช้เพื่อการรักษาก็ม่ต้องคิดอะไรมากเลือกใช้ได้ทันที หลายๆท่านเคยถามมาว่าเกลือทำน้ำทะเลเทียมใช้ได้หรือไม่ ตอบว่าใช้ได้ครับ แต่กาใช้ไม่ควรใส่ลงในตู้โดยตรงควรนำไปละลายในภาชนะอื่นแล้วจึงค่อยนำมาใช้ ค่อนข้างยุ่งยากกว่าครับ ส่วนเกลือรีไซเคิล มักใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆต่อไปอย่าง เช่น การทอผ้า การผลิตสารเคมีอื่นๆ การทำผงซักฟอก การแปรรูปยาง การผลิตยาฆ่าแมลง การผลิตวัสดุก่อสร้างอื่นๆครับ ไม่มีใครใช้มาเลี้ยงปลาหรอกผมนำมาให้ดูเล่นๆเท่านั้น
                เกลือนั้นมีข้อดีหลากหลาย และข้อเสียในการใช้ก็มีผู้ใช้ควรศึกษาและพิจารณาในการใช้ให้รอบคอบเองนะครับ แต่ก็นับว่าเป็นสารเคมีที่ปลอดภัยที่สุดแล้วในการเลี้ยงปลาสวยงาม

การเตรียมน้ำเลี้ยงปลาหมอสี

         
           ก่อนอื่นเราต้องมาศึกษาสภาพน้ำของบ้านเราเสียก่อนครับว่า สภาพน้ำเราเป็นอย่างไร ควรจะปรับปรุงหรือมีการเตรียมน้ำอย่างไรให้เหมาะสมกับการเลี้ยงปลาตัวโปรดของเรายังไงให้ปลอดภัยหลายคนอาจมองข้ามเรื่องของน้ำในการเลี้ยงปลาแต่เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากเพราะมันอาจจะทำให้ปลาตัวโปรดของคุณอายุสั้นได้โดนไม่ตั้งใจนะครับ
          สภาพน้ำที่ตัวผมเองเคยเจอมามี 4 ลักษณะเป็นส่วนใหญ่คือ
1.น้ำประปา (ประปานครหลวง)
2.น้ำธรรมชาติ
3.น้ำบาดาล
4. น้ำฝน
น้ำที่ใช้เลี้ยงปลาสวยงามมาจากหลายแหล่งด้วยกัน   การเลือกใช้จะขึ้นกับความสะดวก   ปริมาณ   วัตถุประสงค์ของการเลี้ยงกับความเหมาะสมในการจัดหา  
             เราลองมาดูน้ำแต่ละประเภทนะครับว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไร
น้ำประปา   เป็นน้ำที่ผู้เลี้ยงปลาสวยงามส่วนใหญ่ใช้เลี้ยงปลากันมากที่สุด   โดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้เลี้ยงที่อยู่ตามอาคารบ้านเรือน   ทำให้สามารถจัดหาได้ง่าย   และประการที่สำคัญคือ  น้ำประปาจัดว่าเป็นน้ำที่มีความเหมาะสมสำหรับเลี้ยงปลาสวยงามได้เป็นอย่างดี   เพราะจากขบวนการของการผลิตน้ำประปา   ได้เน้นที่มีความใสสะอาดเพื่อการอุปโภค   และบริโภคของมนุษย์   จึงต้องนำเอาน้ำที่มีคุณภาพดีมาผลิต   รวมทั้งต้องมีการฆ่าเชื้อโรค   จึงทำให้น้ำประปามีความปลอดภัยจากเรื่องโรคพยาธิที่จะมากับน้ำได้   นอกจากนั้นน้ำประปาส่วนใหญ่ยังมีการใช้ปูนขาวช่วยปรับสภาพความเป็นกรดด่างของน้ำ     ทำให้น้ำมีความกระด้างและมีความเป็นกรดด่างที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของปลา   สรุปได้ว่าข้อดีของน้ำประปาในการเลี้ยงปลาสวยงาม คือ   ใส   ปราศจากโรคพยาธิ   และมีคุณสมบัติเหมาะสม
                แต่น้ำประปาก็มีปัญหาบางประการในการใช้ คือ   น้ำประปาที่พึ่งเปิดออกจากท่อประปามาใหม่ๆนั้น   จะมีปัญหาที่สำคัญ 3 ประการ คือ
                 - ปริมาณของคลอรีน   ซึ่งใช้ในการฆ่าเชื้อโรคในขบวนการผลิต   จะยังคงเหลือตกค้างอยู่ในน้ำ   ซึ่งมักจะมีความเข้มข้นอยู่ประมาณ  0.5 - 2.0 มิลลิกรัมต่อลิตร(ppm)   หากปล่อยปลาลงเลี้ยงทันที   หรือเปิดใส่ให้ปลาทันทีทันใด   ปริมาณของคลอรีนที่มีอยู่ในน้ำจะมีผลทำให้ปลาตาย   ซึ่งเป็นปัญหาที่พบกันอยู่เสมอ   ดังนั้นหากต้องการนำน้ำประปาไปใช้เลี้ยงปลาสวยงาม   จะต้องทำการกำจัดคลอรีนที่ตกค้างออกก่อน  ดังนี้
(1)   รองน้ำประปาใส่ภาชนะทิ้งไว้   ควรเป็นภาชนะปากกว้าง เช่น โอ่งน้ำ หรือถัง       ไฟเบอร์   ปล่อยไว้ประมาณ 2 - 3 วัน   ถ้าสามารถตั้งให้รับแสงแดดจะใช้เวลา 1 - 2 วัน   คลอรีนจะระเหยออกจากน้ำหมดไปเอง
(2)   รองน้ำประปาใส่ภาชนะโดยทำให้น้ำกระจายตัวออกให้มากที่สุด   ซึ่งทำได้โดยการปล่อยน้ำผ่านฝักบัว  หรือใช้สายยางต่อจากปลายก๊อกแล้วบีบปลายสายยางให้น้ำกระจายออก   หรือใช้เศษท่อเอสล่อนสั้นๆเจาะรูหลายๆรูต่อปลายสายยางแทนฝักบัว   ปล่อยน้ำให้ตกเหนือปากภาชนะ   การที่พยายามทำให้น้ำกระจายตัว   จะช่วยไล่คลอรีนออกจากน้ำไปได้มากจากนั้นปล่อยน้ำไว้ประมาณ 24 ชั่วโมง   คลอรีนจะระเหยหมดไป
(3)   รองน้ำประปาใส่ภาชนะ   แล้วใช้เครื่องให้อากาศ (Air  Pump) ปั๊มอากาศผ่านหัวทรายเป็นฟอง   ซึ่งจะทำให้น้ำเกิดการหมุนเวียนตลอดเวลาด้วย   วิธีนี้จะใช้เวลาเพียง 4 - 6 ชั่วโมง  แล้วแต่ความแรงของเครื่องให้อากาศ   คลอรีนจะระเหยหมดไป
(4)   ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้น้ำประปาอย่างเร่งด่วน  จะต้องใช้สารเคมีใส่ลงไปเพื่อทำปฏิกริยาเคมีทำให้คลอรีนที่ตกค้างอยู่หมดไป   สารเคมีที่จะใช้จะต้องไม่มีผลตกค้างหรือก่อผลข้างเคียงอย่างอื่นอีก   ซึ่งสารเคมีที่นิยมใช้ทำปฏิกริยากับคลอรีนในน้ำประปาในปัจจุบันได้แก่ สารโซเดียมไธโอซัลเฟต (Na2S2O3 . 5H2O) สารนี้มีลักษณะเป็นเกล็ดยาวและเป็นเหลี่ยมผลึกใส  เวลาใส่ลงในน้ำจะให้ความเย็น   เมื่อละลายลงในน้ำที่มีคลอรีนจะเกิดปฏิกริยากับคลอรีนทันที   ดังสมการต่อไปนี้
                Cl2   +  2 Na2S2O3 .5H2O        Na2S4O6   +    2 NaCl   +   10 H2O
            สารโซเดียมไธโอซัลเฟตสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายเครื่องมือวิทยาศาสตร์ หรือร้านขายปลาสวยงาม อัตราการใช้โดยทั่วไปจะใช้ปริมาณ1เกล็ด(เม็ด) ต่อน้ำ 5 ลิตร หรือตู้ปลาขนาด 18 นิ้ว จะใส่ 6 เม็ด และตู้ปลาขนาด 24 นิ้วจะใส่ 10 เม็ด
            - การสะสมก๊าซภายในน้ำ น้ำประปาที่ถูกส่งจากสำนักงานประปาไปตามท่อเพื่อส่งไปยังสถานที่ต่างๆนั้น ในระหว่างที่น้ำไหลไปตามท่อจะเกิดแรงดันทำให้มีก๊าซต่างๆถูกสะสมอยู่ในน้ำเป็นจำนวนมาก จะสังเกตได้ว่าเมื่อเปิดน้ำประปาใส่ภาชนะสักครู่จะมีฟองอากาศเกิดขึ้น โดยเกิดเป็นฟองอากาศเม็ดเล็กๆเกาะอยู่ตามผนังภาชนะ ถ้าเป็นตู้กระจกจะสังเกตได้ชัดเจนมาก แรงดันของก๊าซที่สะสมในน้ำประปานี้จะมีผลต่อปลา โดยจะไปทำให้กล้ามเนื้อของปลาเกิดการขยายตัว กล้ามเนื้อส่วนใดที่อ่อนจะถูกดันให้เกิดการขยายตัวได้ง่าย เช่นที่บริเวณท้องและบริเวณกล้ามเนื้อตาของปลา จึงมักทำให้ปลาเสียการทรงตัวแล้วตาย หรือทำให้ปลาตาปูดโปนออกมา ทำให้ปลามีอาการอักเสบที่ตาแล้วปลามักจะตาบอด วิธีการกำจัดก๊าซที่สะสมในน้ำทำได้ไม่ยากนัก คือในขณะรองน้ำประปาใส่ภาชนะพยายามให้น้ำมีการกระจายตัวออกให้มากที่สุด โดยการเปิดผ่านฝักบัวหรือบีบสายยางฉีดน้ำเหนือภาชนะตลอดเวลา จากนั้นอาจใช้เครื่องให้อากาศปั๊มอากาศเป็นฟองหมุนเวียนอยู่ประมาณ 30 - 60 นาที ก็จะกำจัดก๊าซต่างๆออกได้หมด
            - ความเป็นกรดของน้ำประปา จากขบวนการผลิตน้ำประปาจะมีการใช้สารส้ม เพื่อทำให้เกิดการจับตัวของตะกอนและสารแขวนลอยต่างๆ จากนั้นจึงไปผ่านระบบกรองเพื่อทำให้น้ำใส ผลของการใช้สารส้มจะทำให้น้ำมีคุณสมบัติเป็นกรด ถึงแม้ในระบบการผลิตน้ำประปาจะมีการใช้ปูนขาวเพื่อปรับระดับความเป็นกรดให้มีค่าต่ำลง จนอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมต่อผู้บริโภคและไม่น่าจะเป็นอันตรายต่อปลา แต่จากประสบการณ์ที่เคยใช้น้ำประปาเลี้ยงปลาสวยงามและเลี้ยงปลาทดลองต่างๆ พบว่าน้ำประปาที่ผ่านการดำเนินการกำจัดคลอรีนและก๊าซต่างๆแล้ว ในบางครั้งจะยังเกิดปัญหาทำให้ปลาตายได้ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าน้ำยังมีสภาพความเป็นกรดเหลืออยู่ แสดงว่าการผลิตน้ำประปาในบางครั้งอาจใส่ปูนขาวไม่มากพอที่จะปรับความเป็นกรดให้อยู่ในระดับปกติได้ จำเป็นที่ผู้เลี้ยงปลาสวยงามจะต้องหาทางป้องกันไว้ โดยการเติมปูนขาว หรือปูนแดง(ปูนที่ใช้กินหมาก) ประมาณ 1 ใน 3 ช้อนชา ต่อน้ำ 100 ลิตร ลงในถังพักน้ำ

น้ำธรรมชาติ  เป็นน้ำจากแม่น้ำ ลำคลอง หนอง บึง อ่างเก็บน้ำ หรือจากระบบชลประทาน ผู้เลี้ยงปลาสวยงามที่เน้นดำเนินกิจการเป็นฟาร์มเพาะเลี้ยงปลาสวยงามเป็นหลักจำเป็นต้องใช ้เพราะส่วนใหญ่ในแต่ละวันต้องใช้น้ำในปริมาณที่มาก เนื่องจากมีพื้นที่มาก คือ อาจมีทั้งบ่อซีเมนต์ และบ่อดิน โดยทั่วไปน้ำประเภทนี้จะไม่ใส แต่เป็นน้ำที่มีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับการดำรงชีพของปลา ซึ่งปัญหาที่พบในการใช้น้ำธรรมชาติคือ
             - อาจมีโรคหรือพยาธิติดมากับน้ำ   โดยเฉพาะพวกพยาธิภายนอก  เช่น  เห็บปลา   หนอนสมอ   ปลิงใส   และเห็บระฆัง   ซึ่งมักจะทำลายเนื้อเยื่อปลา   แล้วมีผลทำให้ปลาเกิดโรคระบาดติดตามมา   วิธีการแก้ไขทำได้โดยการใช้ระบบบ่อกรองน้ำ   โดยน้ำธรรมชาติที่จะนำเข้ามาใช้ควรนำไปผ่านบ่อกรองน้ำลักษณะซึมบ่อทราย  หรือระบบบ่อกรองน้ำ    ก็จะสามารถป้องกันพยาธิภายนอกไว้ได้   นอกจากนั้นในช่วงฤดูหนาวซึ่งมักเกิดโรคระบาดปลา   หรือในบริเวณนั้นมีฟาร์มสัตว์น้ำค่อนข้างมาก   ก็อาจมีการระบาดของโรคต่างๆมากับน้ำได้   ต้องทำการแก้ไขโดยใช้บ่อพักน้ำ   คือน้ำจากบ่อกรองจะยังไม่นำไปใช้โดยทันที   แต่ควรนำไปเก็บไว้ในบ่อพักน้ำประมาณ 5 - 7 วัน  จะทำให้ตัวอ่อนของโรคต่างๆที่ติดมาตายไป   ก็จะนำไปใช้ได้อย่างปลอดภัย   
                - น้ำขุ่น ในช่วงต้นฤดูฝนจะมีการชะล้างหน้าดินจากน้ำฝนลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ   น้ำจะมีตะกอนขุ่นข้นจนไม่สามารถนำไปเลี้ยงปลาได้   วิธีการแก้ไขก็โดยการใช้บ่อกรองน้ำเช่นกัน   แต่จะต้องหมั่นทำความสะอาดวัสดุกรองบ่อยๆ   เพราะปริมาณตะกอนจะค่อนข้างมาก
                 - ปริมาณน้ำไม่เพียงพอ   ฟาร์มปลาสวยงามที่อยู่ในเขตชลประทาน   หรือใช้แหล่งน้ำขนาดเล็ก   มักประสบปัญหาขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง   โดยเฉพาะในช่วงปลายฤดูแล้งซึ่งเป็นช่วงเหมาะสำหรับการเพาะและอนุบาลลูกปลา   ควรที่จะต้องมีบ่อพักน้ำเพื่อสำรองน้ำเก็บไว้

น้ำบาดาล เป็นน้ำใต้ดินที่ถูกนำขึ้นมาใช้   เหมาะสำหรับฟาร์มปลาสวยงามที่มีกิจการไม่มากนัก   หรือรังปลา(ร้านขายส่งปลา)   ซึ่งมักตั้งอยู่แถวชานกรุงเทพฯ   จะมีการใช้น้ำในปริมาณค่อนข้างมากในแต่ละวันเช่นกัน   ถึงแม้ว่าจะมีน้ำประปาส่งไปถึง   แต่การแก้ไขปัญหาในน้ำประปาที่จำเป็นต้องใช้เป็นปริมาณมากในแต่ละวันนั้นทำได้ยาก   จึงจำเป็นต้องนำน้ำบาดาลเข้ามาใช้   คุณสมบัติของน้ำบาดาลนั้นจะใสและสะอาดเช่นเดียวกับน้ำประปา   อีกทั้งยังไม่มีคลอรีนตกค้างอยู่ในน้ำ   แต่น้ำบาดาลก็มีปัญหาที่ต้องพิจารณาดังนี้
              - ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด น้ำบาดาลจะมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ค่อนข้างมาก   และจะไม่มีออกซิเจนละลายอยู่เลย   หากนำไปใช้เลี้ยงปลาสวยงามทันทีจะทำให้ปลาตายได้   วิธีการแก้ไขคือใช้บ่อหรือถังพักน้ำขนาดไม่ใหญ่มากนัก   เมื่อสูบน้ำบาดาลขึ้นมาจะปล่อยลงถังพัก   โดยปล่อยน้ำให้มีการกระจายตัวมากที่สุด   ซึ่งวิธีที่นิยมใช้คือใช้ฝักบัว   และให้ฝักบัวอยู่สูงจากปากถังพักน้ำพอควร   ในระหว่างที่น้ำกระจายตัวออกจากฝักบัวก่อนตกลงที่ผิวน้ำในถังพัก   ก็จะรับออกซิเจนจากอากาศละลายเข้าไปในน้ำ   ในขณะเดียวกันจะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีอยู่ระเหยออกสู่อากาศ   น้ำบาดาลในถังพักจะสามารถปล่อยไปเลี้ยงปลาสวยงามได้ทันที   จึงไม่ต้องเสียเวลารอพักน้ำบาดาล
                 - คุณสมบัติของน้ำบาดาล  ถึงแม้น้ำบาดาลโดยทั่วไปจะมีคุณสมบัติเหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของปลา   แต่น้ำบาดาลในบางพื้นที่อาจมีคุณสมบัติไม่เหมาะสม   ทำให้ปลาเจริญเติบโตช้าหรือไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้   คุณสมบัติที่สำคัญของน้ำบาดาลที่พบว่าอาจก่อปัญหาให้แก่ปลา   ได้แก่   ความเป็นกรดด่าง(pH)   และความเค็ม   ดังนั้นก่อนดำเนินการเจาะและติดตั้งเครื่องเพื่อการใช้น้ำบาดาล   ควรมีการเจาะน้ำเพื่อตรวจสอบความเป็นกรดด่าง   และความเค็มของน้ำก่อน   เมื่อพบว่าไม่มีผลต่อปลาจึงค่อยดำเนินการถาวร
                 สำหรับการใช้น้ำบาดาลในปัจจุบันมักก่อให้เกิดปัญหาแผ่นดินทรุด   จึงมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการใช้น้ำบาดาล   ผู้ที่จะดำเนินการเจาะบ่อน้ำบาดาลจะต้องขออนุญาตจากกรมทรัพยากรน้ำบาดาลก่อน   มิฉะนั้นจะมีความผิดทางกฎหมาย

น้ำฝน   ในสมัยก่อนนิยมใช้น้ำฝนในการเลี้ยงปลาสวยงาม   เนื่องจากถือว่าเป็นน้ำที่มีคุณภาพดีมาก   มีความใสสะอาดจนสามารถบริโภคได้   แต่ในปัจจุบันมีปัญหามลพิษทางอากาศเนื่องจากความเจริญของบ้านเมือง   ก่อปัญหาการปนเปื้อนของสารพิษต่างๆในอากาศค่อนข้างมาก  ทำให้น้ำฝนจะมีการซึมซับสารพิษต่างๆไว้ในขณะที่ตกลงมา   มีผลทำให้น้ำฝนมีคุณสมบัติเป็นกรดค่อนข้างรุนแรง   การใช้น้ำฝนเลี้ยงปลาสวยงามในปัจจุบันจึงมักทำให้ปลาตาย   หรือมีสีสันซีดลง   ยกเว้นถ้ารองน้ำฝนในวันที่มีฝนตกหนัก   และรองภายหลังจากที่ฝนตกไปแล้วระยะหนึ่ง   จึงอาจนำน้ำฝนนั้นมาเลี้ยงปลาได้    แต่ถ้าหากไม่มีความจำเป็นก็ไม่ควรเสี่ยงที่จะนำน้ำฝนมาใช้เลี้ยงปลา

การจัดตู้ปลา สำหรับ เลี้ยงปลาหมอสี

องค์ประกอบของการ จัดตู้ปลา

ตู้ปลา ที่นิยมมี 2 แบบ
1.แบบทรงกลม
2.ตู้ปลาแบบสี่เหลี่ยม ซึ่งมี 2 ลักษณะคือ
- ตู้ปลาแบบมีกรอบ เป็นตู้ปลาแบบรุ่นเก่าทำด้วยกรอบอลูมิเนียมใช้ชันอุดตามรอยรั่วกันน้ำรั่วซึม
- ตู้ปลาแบบไม่มีกรอบ นำกระจกมาต่อกันโดยใช้กาาวซิลิโคนเป็นตัวประสานเข้าด้วยกัน
2.ฝาปิดตู้ปลา
ทำด้วยพลาสติก ช่วยป้องกันการระเหยของน้ำและป้องกันฝุ่นละอองจากภายนอก
3.เครื่องปั๊มอากาศ
การใช้เครื่อง ปั๊มอากาศ
- ควรติดตังให้สูงกว่าตัวปลา เพื่อให้สะดวกในการดันอากาศ
- การติดตั้งเครื่องปั๊มอากาศ ควรให้ห่างจากฝุ่นละออง เพราะฝุ่นละอองอาจทำให้เสียหายได้
อุปกรณ์ที่ติดมากับเครื่องปั๊มอากาศ
- สายออกซิเจน ต้องหาและไม่มีรอยรั่ว
- หัวทราย มีลักษณะเป็นทรงกลม มีรูพรุน ทำหน้าที่ให้อากาศเป็นฟองฝอยเล็กๆ เพื่อให้ออกซิเจนสามรถละลายน้ำได้ดี
3.ข้อต่อ เป็นตัวแยกอากาศจากเครื่องปั๊มไปในทิศทางที่ต้องการ
4.วาวล์ควบคุม ทำหน้าที่ควบคุมปริมาณอากาศที่ออกมาจากเครื่องปั๊ม ให้ออกมาตามความเหมาะสม
5.ระบบการกรองน้ำ มี 2 แบบ คือ
- ระบบการกรองภายในตู้ปลา
- แบบกรองน้ำใต้ทราย
ส่วนประกอบ
แผ่นกรอง ต้องเหมาะกับลักษณะของตู้ปลา มีรูพรุนเล็กๆ สูงจากพื้ตู้ประมาณ 2-3 ซ.ม.
ท่อส่งน้ำ ทำงานร่วมกับแผ่นกรอง สามารถปรับทิศทางของน้ำที่พ่นออกมาให้ได้ตามต้องการได้
สายอากาศ เป็นสายทางเดินอากาศที่ต่อมาจากท่อปั๊ม
ระบบการทำงาน
เครื่องปั๊มอากาศจะอัดอากาศส่งไปตามสายอากาศที่เชื่อมระหว่างเครื่องปั๊มอากาศกับหัวครอบแผ่นกรองใต้ทราย เมื่ออากาศถูกดันออกมาตามท่อส่งน้ำที่ถูกพ่นออกมาจะไหลเวียนเข้าไปอยู่ใต้แผ่นกรอง ขณะเดียวกันน้ำที่อยู่เหนือแผ่นกรองและพวกสิ่งสกปรกก็จะถูกดูดลงไปแทนที่ ทำให้น้ำใสสะอาดอยู่เสมอ
- ระบบการกรองแบบกล่องใต้ตู้ ไม่เป็นที่นิยมมากนัก การทำงานคล้ายระบบการกรองน้ำใต้ทราย ต่างกันเพียงระบบการกรองจะมีกล่องแยกต่างหาก ภายในกล่องกรองจะใส่ใยแก้วและถ่านคาร์บอน ข้อดีก็คือ สามารถถอดล้างทำความสะอาดได้ด้วย
- ระบบการกรองภายนอกตู้ปลา ประสิทธิภาพในการกรองจะเหนือกว่าระบบการกรองที่กล่าวมาแล้ว สามารถกรองเศษอาหารปลา มูลปลา กลิ่น สี ออกนอกตู้ปลาได้ดี อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่กรอง คือ ถ่านคาร์บอน และใยแก้ว
กรวด เป็นวัสดุที่ตกแต่งให้ตู้ปลาดูเป็นธรรมชาติ กรวดที่ควรมีขนาด 3 มม. ไม่ควรละเอียดและหยาบเกินไปควรใช้น้ำกรองหรือน้ำประปาที่ผ่านการกับไว้เพื่อให้คลอรีนระเหยออกไป
สำหรับ ส่วนประกอบ อื่น ไม่เหมาะ กับ การ เลี้ยงหมอสี อาทิเช่น ต้นไหม้ ตอ ของประดับ ตู้ปลาอื่น ๆ มีเพียงแต่ ตู้ และ ก้อนหิน ไว้ให้คาบเล่น หรือ พ่น ก็พอ
ถ้าเอาแบบตู้เดียวเลี้ยงชั่วชีวิตเลยควรจะเลือกตู้ขนาดที่ไม่ต่ำกว่า 36 นิ้วขึ้นไป ถ้าได้48หรือ60นิ้วไปเลยยิ่งดีแต่ถ้าหากจะเลี้ยงแบบค่อย ๆ ขยับขยายกันไปขนาดโดยประมาณ คร่าวๆระหว่าง ตัวปลากับขนาดของตู้คือปลาต่ำกว่า 4 นิ้ว = ตู้ 24 นิ้ว / ปลาขนาด4-7 นิ้ว = ตู้30-36 นิ้ว-/ปลาขนาดใหญ่เกิน 7นิ้ว=ตู้36 นิ้วขึ้น ไปหากเลือกแบบแรก คือตู้ใหญ่ไปเลย ทีเดียวแต่หาก ต้องการ ขยับขยาย ตู้ปลาตามไซส์ปลา ต้องพึ่่งด้วยว่าอัตราการเจริญเติบโตเท่าไร น้ำคืิอสิ่้่งสำคัญมากที่สุดในการเลี้ยงปลา นอกจากที่เราจะดูแลปลาแล้วเราต้ิองดูแลน้ำเพราะ100%
ชีวิตปลาต้องอาศัยอยู่ในน้ำน้ำเลยเป็นสิ่งสำคัญที่ปลาขาดไม่ได้ในเมื่อน้ำคืิอสิ่งที่จะต้องอยู่คู่กับปลาแล้วน้ำที่เหมาะ สมที่สุดในการเลี้ยงคือ น้ำก๊อกหรือน้ำประปาแต่ต้องเป็นน้ำประปาที่ไมมี่คลอรีนเท่านั้นวิธีการลดคลอรีน แค่หาภาชนะอะไรก็ได้สำหรับกักน้ำไว้ในปริมาณที่เราต้องการวางไว้ในที่ที่อากาศถ่ายเทได้สะดวกปล่อยทิ้ง ไว้2-3 วัน คลอรีนก็ระเหยไปหมด (ใช้เวลาระเหยนานแค่ไหนอยู่ที่ ปริมาณกาีรใส่คลอรีน จากต้นทาง แต่่บ้านที่อยู่ใกล้คลองประปาส่วนใหญ่คลอรีนจะเยอะ) ถ้าอยากให้ระเหยเร็วขึ้นอีก ก็หาปั๊มลม สำหรับใส่ตู้ปลาพร้อมกับเปิดหัวทรายแรงๆทิ้งไว้ในน้ำซัก 1 - 2 วัน คลอรีนก็ จะหายหมด ส่วนวิธีที่เร็วขึ้นอีกคือการใช้่สารเคมีมาช่วยลดคลอรีนในน้ำ
สารเคมีที่มีวางขายทั่วไปตามท้องตลาดจะมีหลักๆ2ประเภทคือ น้ำยาคลอรีน และ เกล็ดคลอรีน ซึ่งก็สามารถนำมาใช้ได้ทั้ง2ชนิด แบบเกล็ดจะมีราคาถูกกว่าก็จริงแต่ถ้าใส่ไม่เป็นนอกจากน้ำจะเป็นสีขุ่น หรือเกิดฟองแบบผิดปกติในตู้แล้วปลาก็อาจจะมีอาการลอยคอและถึงตาย ได้
สำหรับมือใหม่อยากจะแนะนำให้ใช้สารลดคลอรีนแบบน้ำเพื่อที่จะดูปริมาณการใส่จากข้างขวดได้เลยใช้ง่ายแล้วก็สะดวก วิธีใช้ก็แค่ใส่ลง ไปขณะกำลังเติมน้ำใหม่ เข้าตู้เปิดปั๊มลมหรือเปิดกรองเดินน้ำไว้ ซัก 5-10 นาทีก็ใช้ได้แล้ว

อาหาร ปลาหมอสี

ปลาหมอสี หรือ Flower Horn ฟลาวเวอร์ฮอร์น วันนี้มีเทคนิคการเลี้ยงปลาหมอสี การเพาะปลาหมอสี ปลาที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนี้

ปลาหมอสี เป็นปลาที่กำลังเป็นที่นิยมของนักเลี้ยงปลาบ้านเรา แรกทีเดียวก่อนที่จะเข้ามาสู่ตลาดเอเชียนั้น ได้รับความสนใจและนิยมเลี้ยงกันในแถบอเมริกา ยุโรปกันก่อนแล้ว เพราะเป็นปลาตู้ที่เลี้ยงง่าย มีสีสันโดดเด่น สวยงาม และแปลกตา
แหล่งกำเนิด ปลาหมอสี
ปลาหมอสีมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ตามลุ่มน้ำหรือทะเลสาบในต่างประเทศ มีนิสัยค่อนข้างรักถิ่นฐาน หากมีปลาอื่นบุกรุกเข้ามาในเขตของมัน มันก็จะขับไล่ผู้บุกรุกออกไป
อาหาร ปลาหมอสี
ปลาหมอสีสามารถปรับตัวได้ดีกินอาหารได้ทุกประเภท แต่ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนผสมไขมันจากเนื้อสัตว์ เพราะไขมันจะไปทำลายตับของปลาเหล่านี้ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปลาที่เลี้ยงตาย ฉะนั้นอาหารที่ใช้เลี้ยงควรมีส่วนผสมที่ใกล้เคียงกับอาหารธรรมชาติมากที่สุด ปลาหมอสีกินพืช ควรเลี้ยงอาหารปลากินพืช พวกปลากินสัตว์ เช่น กุ้ง ไรน้ำเค็ม หรืออาหารสำเร็จรูปที่ใช้เลี้ยงกับอาหารสำเร็จรูปที่ใช้โดยทั่วไปควรมีส่วนประกอบของกากถั่ว กุ้ง สาหร่ายเกลียวทอง ปริมาณอาหารไม่ควรให้เกินความต้องการของปลา จะทำให้ปลาอ้วนและอ่อนแอ ในกรณีเลี้ยงเพื่อการเพาะพันธุ์ ถ้าให้อาหารมากเกินไปจะทำให้ปลาไม่มีไข่และน้ำเชื้อ
ธรรมชาติของปลาหมอสีเป็นปลาที่อดทน สามารถอดอาหารนับสิบวัน หากท่านไม่อยู่บ้าน 5 - 10 วัน ปลาก็สามารถอยู่ได้อย่างปกติ แม้ว่าในแหล่งน้ำธรรมชาติมีอาหารจำกัด โดยเฉพาะแม่ปลาที่ฟักไข่ด้วยปาก ต้องอมไข่จนไข่ฟักเป็นตัว และอมต่อไปจนกระทั่งลูกปลาสามารถว่ายน้ำออกจากปาก เพื่อหากินอาหารต่อไป ซึ่งใช้เวลาอีก 15-20 วัน ในระยะนี้แม่ปลาจะไม่กินอาหารใดๆ ทั้งสิ้น
สายพันธุ์ ปลาหมอสี
ปลาหมอสีสกุลแอริสโทโครมิส
ปลาหมอสีสกุลออโลโนคารา
ปลาหมอสีสกุลโคพาไดโครมิส
ปลาหมอสีสกุลลาบิโอโทรเฟียส
การเพาะเลี้ยงปลาหมอสี
ปลาหมอสีเป็นปลาสวยงามอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่น จากนักเลี้ยงปลาทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่นเป็นงานอดิเรกถึงแม้ว่าปลากลุ่มนั้นส่วนใหญ่เป็นปลานำเข้าจากทวีปแอฟริกา ทวีปอเมริกาใต้และกลุ่มประเทศอเมริกากลาง จัดอยู่ในวงศ์ชิลคลิดี การแพร่กระจายของปลาวงศ์นี้ขึ้นอยู่กับความแตกต่างของสิ่งแวดล้อมดังเช่น ลักษณะภูมิประเทศประกอบด้วยทะเลสาบ แม่น้ำลำธาร หนองบึง จึงส่งผลให้ปลามีความหลากหลายทั้งชนิด สายพันธุ์ รูปร่าง และการดำรงชีวิต ซึ่งมีทั้งปลาบริโภคและปลาสวยงาม ได้แก่ ปลานิล ปลาหมอเทศ ปลาปอมปาดัวร์ ปลาเทวดา ปลาออสการ์ ฯลฯ ปลาเหล่านี้สามารถปรับตัวได้ดี จัดเป็นปลาเลี้ยงง่าย
หลักทั่วไปใน การเลี้ยง ปลาหมอสี1. น้ำต้องสะอาดไม่ควรมีเชื้อโรค ห้ามใช้น้ำประปาที่เปิดจากก๊อกน้ำโดยตรง เฉพาะคลอรีนและปูนที่อยู่ในน้ำจะฆ่าปลาได้ในเวลาอันรวดเร็วควรพักน้ำประปาไว้สัก 2-3 วันจึงนำมาใช้
2. ใช้เครื่องกรองน้ำซึ่งหาซื้อได้ตามร้านทั่วไปเลือกให้เหมาะกับขนาดของตู้
3. ขนาดของตู้เลี้ยงควรจะใหญ่สักหน่อย ถ้าเลี้ยงพวกหมอสีพันธุ์เล็ก ความยาวของตู้ไม่ควรต่ำกว่า 24 นิ้ว ถ้าเป็นพันธุ์ใหญ่ก็ไม่ควรต่ำกว่า 36 นิ้ว ควรมีสัก 2 ตู้ เพื่อเป็นตู้พักปลา 1 ตู้ ตู้เลี้ยง 1 ตู้
4. อาหารปลาหมอสีกินอาหารสำเร็จรูปได้ดี ซึ่งเราหาซื้อได้ทั่วไปแต่ถ้าที่บ้านใกล้แหล่งเพาะยุงหรือใกล้บริเวณที่มีลูกน้ำลูกไรมาก และหาได้สะดวกก็ให้ลูกน้ำ ลูกไร เป็นอาหารจะดีมากทั้งประหยัดเงินและมีอาหารที่มีคุณค่าดี
5. ก้อนหิน ก้อนกรวด พันธุ์ไม้น้ำที่เราคิดว่าจะจัดลงไปในตู้นั้นควรจะทำความสะอาดให้ดี ก้อนหินก็ควรจะแช่น้ำลดความเป็นด่างลงพันธุ์ไม้น้ำก็ควรจะพักไว้ในถังหรือตู้อื่นๆ รอจนมันฟื้นตัวได้แล้วค่อยนำมาจัดในตู้
6. ตู้ปลาควรจะตั้งอยู่ใกล้กับที่พักน้ำเพื่อเปลี่ยนน้ำในตู้ปลาได้สะดวก ปัญหานี้ดูเหมือนเล็กแต่ก็มีหลายๆรายที่เลิกเลี้ยงปลา เพราะต้องเปลี่ยนน้ำในตู้ปลาบางรายถึงขั้นทะเลาะกันเพราะเกี่ยงกันเปลี่ยนน้ำตู้ปลา บางรายถูกคำสั่งห้ามเลี้ยงหลังจากการเปลี่ยนน้ำตู้ปลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เพราะขณะเปลี่ยนน้ำตู้ปลาบริเวณระหว่างที่พักน้ำกับตู้ปลาจะกลายเป็นเขตอันตรายสูงสุดต่อชีวิตของคนแก่และเด็ก รวมทั้งสตรีมีครรภ์ไปในทันที การลื่นหกล้มในบริเวณนี้จะเกิดขึ้นบ่อยมาก
7. เวลา ถ้าคุณต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้าครึ่งและกลับถึงบ้านประมาณไม่ถึงสี่ทุ่มดีในวันปกติ วันเสาร์ต้องตื่นสิบโมงเช้าเพื่อนอนชดเชยพอตื่นก็ต้องทำงานบ้านจิปาถะที่ค้างตั้งแต่จันทร์-ศุกร์ แล้วก็ขอแนะนำว่าไปปลูกต้นไม้ดีกว่าเพราะปลาที่คุณเลี้ยงไว้นั้นมันพากันตายหมดแล้ว ก่อนเลี้ยงปลาต้องถามตัวเองก่อนว่ามีเวลาไหม และคนรอบข้างจะยินดีไหมที่คุณจะเลี้ยงปลา เพราะคนรอบข้างนั้นก็คือคนงานของคุณขณะเปลี่ยนน้ำตู้ปลา ถ้าเกิด คนงานสไตรท์ขณะเปลี่ยนน้ำไปได้ครึ่งเดียว ภาระทั้งหมดก็จะอยู่ที่คุณคนเดียวจริงๆ
เมื่อหลัก 7 ประการนี้คุณแก้ปัญหาได้แล้ว คราวนี้ก็เริ่มลงมือเลี้ยงกันได้ สมมุติว่าตู้ปลาจัดตกแต่งเรียบร้อยแล้ว ตำราก็อ่านแล้วมีความมั่นใจ 100% ถุงใส่ปลาถูกแกะออกปลาฝูงแรกถูกปล่อยลงตู้แล้วทุกตัวพร้อมใจกันว่ายเข้าหาที่ซ่อน ไม่ต้องตกใจนั่นเป็นสัญญาณของปลา สักครู่ตัวที่กล้าหน่อยหรือตกใจน้อยหน่อยจะเริ่มว่ายน้ำสำรวจที่อยู่อาศัยใหม่ ตัวอื่นๆก็จะตามมาที่มีนิสัยรวมฝูงก็จะรวมกัน บางตัวก็ว่ายเที่ยวแล้วแต่ชนิดและนิสัยของแต่ละตัวไม่ต้องให้อาหารวันที่สองเมื่อปลาส่วนใหญ่สงบลงแล้วเริ่มให้อาหารเล็กน้อยเป็นอาหารมีชีวิตได้ก็ดีถ้าไม่มีอาหารเม็ดก็ได้ ให้น้อยๆดูจนกว่าปลาจะกินอาหารเม็ดหมด ทิ้งไว้สัก 2-3 ชั่วโมง ถ้ามีเศษอาหารเหลือก็ให้ตักออกทิ้งไป สัปดาห์แรกผ่านไปคุณจะรู้สึกว่าตัวเองกะประมาณอาหารที่ให้ปลาได้ดีขึ้น
อาหารที่ให้ไม่ค่อยเหลือซึ่งจะดีมากน้ำจะใสไม่เสีย ถ้ามีปลาตายก็รีบตักออกไปจากตู้โดยเร็ว สังเกตุด้วยว่าตายสภาพอย่างไร ถ้าครีบขาดรุ่งริ่งแสดงว่ามันกัดกัน แยกตัวที่ก้าวร้าวออกไปใส่ไว้ในตู้พักปลา ถ้าภายในสภาพตัวยังสมบูรณ์ก็เกิดจากหลายสาเหตุ และตายติดต่อกันทุกวันก็ต้องเปิดตำราและถามผู้รู้แล้วละ สัปดาห์ที่สอง-สาม-สี่ ปลาก็จะเริ่มคุ้นกับคุณแล้วละมันจะเริ่มมาหาคุณไม่กลัวคุณ ยิ่งคุณอยู่ดูมันมากเท่าใดมันก็จะยิ่งคุ้นกับคุณมากขึ้นเท่านั้น การสื่อสารระหว่างคุณกับปลาก็จะยิ่งรู้เรื่องกันมากขึ้น

ปลาหมอสีครอสบรีดที่ได้รับความนิยม


ปลาหมอสี "ครอสบรีด"
ปลาหมอสีครอสบรีด คือ การที่มนุษย์นำเอาปลาหมอสีที่ต่างสายพันธุ์กัน มาผสมพันธุ์กันเพื่อสร้างสายพันธุ์ใหม่ให้มีความสวยงามมากขึ้น  โดยนำเอาจุดเด่นของสายพันธุ์หนึ่ง มาผสมกับจุดเด่นของอีกสายพันธุ์หนึ่ง โดยในการทด ลอง บางทีการผสมพันธุ์อาจได้ปลาตรงตามที่จินตนาการไว้ หรืออาจจะไม่ตรงเลยก็ได้ เช่น การนำปลาหมอสีสายพันธุ์หนึ่งที่มีโทนสีแดง หัวโหนก ลำตัวใหญ่ มาผสมกับปลาหมอสีอีกสายพันธุ์หนึ่งที่มีลักษณะหน้าสั้น หัวโหนก กระโหลกใหญ่ เพื่อให้ได้ปลาที่หัวโหนก ลำตัวใหญ่ กระโหลกใหญ่ และมีสีแดง แต่ผลที่ได้จริงกลับมีความหลากหลายกว่าที่คิดไว้ โดยมีส่วนหนึ่งตรงตามจินตนาการ แต่อีกส่วนหนึ่งผิดเพี้ยนไป กลายเป็นปลาลำตัวสั้น หน้าหักบ้างก็มี การผสมพันธุ์ปลาแบบข้ามสายพันธุ์จึงสรุปได้ว่าเป็นอะไรที่ไม่มีความแน่นอน คนจึงเรียกปลาพวกนี้ว่าเป็น "ปลาเปอร์เซ็นต์" ซึ่งผู้ที่จะเพาะพันธุ์ให้ได้ปลาสวยๆ ต้องอาศัยประสบการณ์ และระยะเวลาในการพัฒนาความสวยงามเป็นอย่างมาก ผู้ที่คิดจะเลี้ยงปลาหมอสีครอสบรีดจึงควรต้องศึกษาหาความรู้ให้ดีเสียก่อน เพราะความไม่แน่นอนของมัน อาจทำให้คุณผิดหวังเมื่อมันโตขึ้นมา

 

ปลาหมอสีครอสบรีดที่ได้รับความนิยม

ปลาหมอสี "ฟลาวเวอร์ฮอร์น"
เป็นปลาหมอสีที่ผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่าง "ปลาหมอไตรมาคูลาตัส" (Nandopsis trimaculatus) ที่มีลวดลายมาร์กกิ้งสวยงาม ผสมกับ "ปลาหมอเรดเดวิล"  (Amphilophus citrinellus) ซึ่งมีสีแดงส้มและมีหัวโหนก แต่ในปัจจุบันมีการผสมข้ามกับสายพันธุ์อื่นๆอีก ฟลาวเวอร์ฮอร์นจึงมีรูปแบบที่หลากหลายไปอีกไม่ต่ำกว่า 20 ชนิด ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์ที่หัวโหนกพิเศษ หรือบางสายพันธุ์ก็พัฒนาทางด้านของมุกตามลำตัว ให้มีมากขึ้นและมีความแวววาว หรือบางคนก็จะชอบฟลาวเวอร์ฮอร์นที่มีสีแดงสด สลับกับมุกที่แวววาว ซึ่งทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับการพัฒนาสายพันธุ์ทั้งสิ้น
ปลาหมอสี "ไตรทอง"
เป็นปลาหมอสีที่เกิดขึ้นจากนักเพาะพันธุ์ของเมืองไทยเรานี่เอง โดยมีต้นกำเนิดมาจาก "ปลาหมอไตรมาคูลาตัส"  (Nandopsis trimaculatus) ในปัจจุบันนักเพาะพันธุ์ต่างๆ ได้พยายามพัฒนาสายพันธุ์ โดยนำมาผสมข้ามสายพันธุ์กับปลาสายอื่น ๆ เพื่อเพิ่มลักษณะเด่นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ปลาหมอสีไตรทองดั้งเดิมจะมีลักษณะเป็นสีเหลืองทอง เรียบเนียน ลำตัวหนา โครงใหญ่ ครีบปลามีขนาดใหญ่พริ้วสวยงาม บริเวณส่วนหน้า และส่วนลำคอจะมีสีแดงสด ตัดกันกับสีเหลืองได้อย่างสวยงาม สำหรับคนที่ชอบปลาหมอสีไตรทอง จะนิยมปลาที่มีทรงสั้น หนา และลำตัวกว้าง ส่วนหัวมีความโหนก ส่วนของสีตามลำตัวต้องสดตัดกันไม่ซีด

ปลาหมอสี "เท็กซัสแดง"

เป็นปลาข้ามสายพันธุ์อีกชนิดหนึ่งที่ได้จากการผสมพันธุ์ระหว่างพ่อ "เท็คซัสเขียว" (Herichys Carpinte) เป็นหลัก ผสมพันธ์กับแม่พันธ์ปลาหมอสีที่ลอกสีผิวเป็นสีแดงเช่น "นกแก้ว" ( Red Parrot ) "เรดเดวิล" (Red devil) "คิงคอง" "ซินแดง" จึงจะได้ลูกปลาออกมาเป็น "เท็กซัสแดง" เมื่อยังมีขนาดเล็กจะมีลักษณะเหมือนปลาหมอสีทั่วไปคือตัวมีสีผิวออกน้ำตาลถึงเกือบดำ และจะค่อยๆ ลอกผิวออกจนหมด โดยจะเห็นผิวชั้นในเป็นสีส้มจนถึงแดง แต่ละตัวจะมีลายแตกต่างกัน เท็กซัสแดงเป็นปลาหมอสีที่ต้องใช้ระยะเวลาในการลอก บางตัวก็ลอกเร็ว บางตัวก็ลอกช้า บางตัวอาจมีขนาดเกือบเต็มวัยแล้วค่อยลอกก็มี

โรคของปลาหมอสี

โรคของปลาหมอสี ที่พบอยู่บ่อยๆจะมีไม่กี่โรค เพราะปลาหมอสีเป็นปลาที่มีโรคน้อยมาก

โรคขี้ขาว เกิดจากพยาธิที่อยู่ในอาหารสดที่เราให้ปลากิน โดยเฉพาะปลาที่กินเก่งมักจะเป็นโรคนี้ได้ง่าย ซึ่งตัวพยาธินี้จะเข้าไปสะสมในลำใส้ส่วนท้ายของปลา แพร่พันธุ์ และทำลายผนังลำใส้ จนทำให้ปลามีอาการถ่ายออกมาเป็นวุ้นสีขาว เมื่ออาการเริ่มหนัก ปลาจะเริ่มโทรมและไม่กินอาหาร โดยบางครั้งจะมีอาการใส้ไหลออกมาให้เห็นด้วย ซึ่งจะทำให้ปลาติดเชื้อได้ง่าย และตายในที่สุดการรักษา วิธีการให้ยาที่ได้ผลดี คือการป้อนยาเข้าทางปาก โดยใช้ยารักษาขี้ขาวที่หาซื้อได้ตามร้านขายปลาทั่วไป หรือแช่ด้วย "เมโทรนิดาโซล" (ซื้อตามร้านขายยาคน) 20 มก.ต่อน้ำ 1 ลิตร เปลี่ยนน้ำ 40% ทุก 3 วันและใส่ยาใหม่ งดอาหารชั่วคราว ทำจนกว่าปลาจะดีขึ้น แล้วให้วิตามิน เพื่อให้ปลาฟื้นสถาพได้เร็วขึ้น
การป้องกัน นำอาหารสดมาแช่ยาฆ่าพยาธิก่อนให้ปลากินทุกครั้ง และควรถ่ายพยาธิปลาอย่างน้อยเดือนละครั้ง หรือทางที่ดีควรให้ปลากินอาหารเม็ด และรักษาน้ำในตู้ให้สะอาดอยู่เสมอ

โรคจุดขาว มักเกิดในช่วงที่มีอากาศเย็น หรือช่วงที่ฝนตกหนักๆ ลักษณะของโรคคือจะมีจุดขาวๆเกิดขึ้นตามลำตัวของปลา ครีบ และเหงือกของปลา ปลาจะมีอาการซึม สีซีด ไม่กินอาหาร ว่ายน้ำสั่นๆ ชอบเอาตัวถูกับพื้นตู้ การรักษา ติดฮีตเตอร์และปรับให้อุณหภูมิน้ำประมาณ 30 องศาเซลเซียส เปลี่ยนน้ำวันละ 50 % ทุกวัน ทำความสะอาดระบบกรองสม่ำเสมอ ใช้"มาลาไคท์กรีน"ที่หาซื้อได้ตามร้านขายปลาทั่วไปหยดใส่ในน้ำตามปริมาณที่ฉลากกำหนดข้างขวด
การป้องกัน หลีกเลี่ยงการให้อาหารสดในช่วงที่มีอากาศเย็น เปลี่ยนน้ำ ทำความสะอาดตู้อยู่เสมอ ติดฮีตเตอร์และปรับอุณหภูมิที่ 30 องศาเซลเซียส

โรคเชื้อรา เกิดขึ้นเมื่อปลาอ่อนแอ หรือปลาเป็นแผล โดยจะมีลักษณะเหมือนปุยขาวๆคลุมอยู่บริเวณบาดแผล ถ้าเป็นเชื้อราที่เหงือก อาจทำให้ปลาตายได้ในเวลาอันรวดเร็ว
การรักษา ย้ายปลาไปที่ตู้รักษา ให้อาหารเพียงเล็กน้อย ใช้"มาลาไคท์กรีน"หรือยา"ฟังกัส"ที่หาซื้อได้ตามร้านขายปลาทั่วไปหยดใส่ในน้ำตามปริมาณที่ฉลากกำหนดข้างขวด เปลี่ยนยาและน้ำทุกๆ 2 วัน  

การป้องกัน เปลี่ยนน้ำ ทำความสะอาดตู้อยู่เสมอ อย่าให้มีอาหารตกค้าง และสังเกตปลาถ้าเลี้ยงหลายตัว แยกตัวที่กัดกันไว้คนละตู้


โรคหัวเป็นรู ปลาจะมีอาการซึม ไม่กินอาหาร สีซีด ส่วนหัวของปลาจะเริ่มมีรูเล็กๆเกิดขึ้น และจะเริ่มใหญ่และลึกขึ้นเรื่อยๆ มักเกิดขึ้นเมื่อปลาอ่อนแอ น้ำในตู้สกปรก มีการหมักหมม
การรักษา โรคนี้ต้องรีบรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ โดยแช่ปลาด้วย"เมโทรนิดาโซล" (ซื้อตามร้านขายยาคน) 20 มก.ต่อน้ำ 1 ลิตร แช่จนกว่าจะหาย โดยทำการเปลี่ยนน้ำ 30% ทุก 2 วัน และเติมยาใหม่ หรือจะนำปลาขึ้นมาป้ายยาที่บริเวณแผล ด้วยยาตัวเดียวกันบดให้เป็นผง โดยทำวันเว้นวันจนกว่าแผลจะหาย  

การป้องกัน เปลี่ยนน้ำ ทำความสะอาดตู้อยู่เสมอ อย่าให้มีอาหารตกค้างหมักหมมในตู้

การเลี้ยงปลานั้นต้องดูแลเอาใจใส่อยู่สม่ำเสมอ สังเกตได้ว่าทุกๆโรค มักจะมีปัจจัยการเกิดจากน้ำเสีย การหมักหมมในตู้ ถ้าคุณต้องการให้ปลาแข็งแรง ก็ควรจะให้ความสนใจในการทำความสะอาดตู้ปลาและเปลี่ยนน้ำเป็นประจำ เพื่อให้ตู้ปลาสะอาด ซึ่งจะทำให้ปลามีภูมิต้านทานมากขึ้น และไม่ค่อยเป็น

การเพาะพันธุ์ปลาหมอสี "ครอสบรีด"
วิธีการดูเพศปลาการดูเพศปลาหมอสีในกลุ่มวางไข่ บางคนจะดูที่หัว โดยช่วงหัวของตัวผู้จะดูใหญ่กว่าและเป็นสัน แต่ของตัวเมียจะดูลาดลง แต่วิธีนี้ไม่ถูกต้องเสมอไป  วิธีการดูที่ค่อนข้างแน่นอนคือเราจะดูที่เดือยใต้ท้องปลา ของตัวผู้ ท่อจะมีขนาดเล็กและแหลม ส่วนของตัวเมียจะมีลักษณะอ้วนๆและใหญ่กว่า โดยเมื่อตัวเมียพร้อมจะวางใข่ เดือยใต้ท้องของมันจะโผล่ออกมามากกว่าปกติ และช่วงท้องจะดูอ้วนขึ้น ส่วนนิสัยช่วงนี้จะดุร้ายเป็นพิเศษ

 

การผสมพันธุ์ส่วนใหญ่จะนิยมใช้ตู้ 36 นิ้วในการเข้าคู่ การเลือกปลา ควรให้ตัวผู้ใหญ่กว่าตัวเมียประมาณ 1-2 นิ้ว เมื่อหาพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ได้แล้ว ทำความสะอาดตู้ให้เรียบร้อย เติมน้ำสะอาดลงไป หาแผ่นกั้นใสที่ถอดออกได้ มากั้นไว้กลางตู้และใส่หัวทรายไว้ทั้งสองข้างเพื่อให้อากาศเพียงพอ ต่อจากนั้นนำตัวผู้และตัวเมียใส่ไว้คนละด้านกัน ฝั่งของตัวเมีย หาถาดรองกระถางดินเผา หรือแผ่นกระเบื้องด้านหยาบมาวางไว้ เพื่อให้ไข่ของตัวเมียยึดเกาะได้ดี สังเกตดูเมื่อปลาตัวเมียเดือยเริ่มโผล่ออกมามากขึ้น ลองเอาที่กั้นออกให้มันเจอกัน ถ้าไม่กัดกันมากนัก ก็ลองปล่อยให้อยู่ด้วยกัน แต่ถ้ากัดกันรุนแรง ให้เอาที่กั้นมากั้นไว้เหมือนเดิม แต่ถ้าเอาที่กั้นออกหลายครั้งแล้วยังคงกัดกันรุนแรง แนะนำให้ลองเปลี่ยนคู่ ถ้าปลาสามารถอยู่กันได้ตัวเมียจะเริ่มวางไข่ภายในไม่กี่วัน โดยจะเอาเดือยหรือท่อนำไข่ของมัน ถูกับถาดรองกระถางที่เตรียมไว้ ไข่จะหลุดติดออกมาเป็นแนวยาว และตัวผู้ก็จะตามเข้าไปฉีดเชื้อ ช่วงนี้ไม่ควรไปรบกวนมัน ควรหากระดาษมาปิดตู้ไว้ เพราะถ้ามันตกใจ มันอาจจะกินไข่ทั้งหมดได้ เมื่อผสมกันเรียบร้อยแล้ว ทิ้งปลาทั้งคู่ไว้ 1 วันแล้วตักออก เหลือแต่ถาดไข่ไว้ หรือจะเอาถาดไข่ออกมาใส่ตู้พิเศษก็ได้ นำหัวทรายมาวางไว้ใกล้ๆถาดไข่ เปิดอ๊อกซิเจนให้แรง และทำการลดน้ำลงครึ่งตู้ โดยปกติจะสามารถดูไข่ที่ได้รับการผสมแล้วภายใน 2-5 วัน สังเกตดูว่าไข่จะมีจุดดำอยู่ที่ตรงกลาง นั่นคือไข่ที่ได้รับการผสม ส่วนไข่เสียจะเปลี่ยนเป็นสีขาวทึบและขึ้นรา และภายใน 3-7 วัน ไข่ที่ได้รับการผสมจะกลายเป็นตัวปลา มีลักษณะคล้ายฝุ่นดิ้นอยู่ที่พื้นตู้ และอีกไม่กี่วันก็จะเริ่มว่ายนำได้

  

การดูแลลูกปลาเมื่อลูกปลาเป็นตัวแล้ว ช่วงแรกยังไม่ต้องให้อาหารอะไรเลย เราจะให้อาหารหลังจากผ่านไปประมาณ 7-10 วัน คือเมื่อลูกปลาเริ่มว่ายนำได้ดี ให้นำไรฝุ่นซึ่งจะมีลักษณะสีแดง เหมือนฝุ่นเม็ดเล็กๆ (หาซื้อตามร้านขายปลา) มาเป็นอาหารของลูกปลา ควรให้อาหารทีละน้อย แต่บ่อยครั้ง เพื่อไม่ให้อาหารเหลือทำให้น้ำเสีย ช่วงนี้ลูกปลาจะโตเร็ว เมื่อดูว่าลูกปลาแข็งแรงดี ก็ให้เติมน้ำเพิ่มขึ้นวันละนิดจนเกือบเต็มตู้ เมื่อลูกปลาเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น ก็จะสามารถเปลี่ยนอาหารเป็นใส้เดือนน้ำได้ ช่วงนี้ยังไม่ควรเปลี่ยนน้ำ เพราะลูกปลายังเปราะบาง เมื่อลูกปลามีขนาด 1 นิ้วขึ้นไปก็จะสามารถให้ลูกไรเป็นอาหารได้ ในช่วงนี้ สามารถเปลี่ยนน้ำได้ทีละนิด จนกว่าจะมีขนาด 2 นิ้วขึ้นไป ลูกปลาก็จะแข็งแรงเต็มที่

 

การดูเพศปลาตัวเมียและ การเพาะพันธุ์ หรือ ผสมพันธุ์ปลาหมอสีครอสบรีด

การดูเพศปลาตัวเมียและ การเพาะพันธุ์ หรือ ผสมพันธุ์ปลาหมอสีครอสบรีดมันเป็นความจริงอีกอย่างครับที่หลีกเลี่ยงไม่ครับ สำหรับผู้เลี้ยงปลาหมอสี คือ การเลี้ยงปลาหมอสีตัวโปรดไปถึงจุดๆนึงแล้วต้องการให้ปลาหมอสีตัวโปรดมีลูกมีหลานครับก็คือการเพาะพันธุ์ปลานั้นเองครับ และจุดนี้เองจะเป็นการยกระดับมาตรฐานของผู้เลี้ยงว่ามีประสบการณ์แค่ไหนในการเลี้ยงปลาครับก่อนอื่นต้องรู้จักการดูและการสังเกตูเพศของปลาก่อนครับ ว่าปลาตัวโปรดที่เรากำลังเลี้ยงอยู่ว่าเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย สำหรับตัวผู้จะดูง่าย หัวโหนก สีสดใสแต่ตัวเมียจะดูอยากนิดนึงครับ สำหรับผู้ที่กำลังอยากเลี้ยงหรือผู้ที่ยังดูปลาตัวเมียไม่ค่อยเก่งสามารถนำความรู้ในบทความนี้ไปใช้ในการเลือกดูเพศปลาได้นะครับโดยใช้หลักการเดียวกัน สำหรับตัวผู้จะไม่กล่าวถึงนะครับแต่จะกล่าวถึงตัวเมียอย่างเดียว ( ตัวผู้จะตรงกันกับตัวเมียประมาณ 90 % เลยครับ )
การดูเพศปลาตัวเมีย
1.วีธีการดูจากลักษณะปลาตัวเมีย ส่วนใหญ่ช่วงหัวจะมีลักษณะลาด ๆ หรือที่เขาเรียกกันว่า หัวสันขวานครับ ( ก็หัวไม่โหนกนั้นแหล่ะครับ ) แต่ใช่ว่าที่หัวโหนกเหมือนตัวผู้จะไม่มีนะครับ แต่หายากมากๆเลยครับ วิธีดูแบบนี้มันก็ยังมีโอกาสผิดพลาดได้มากเหมือนกัน
2.วิธีการดูจุดดำ ๆที่กระโดงหลังของปลาตัวเมีย เป็นวีธีที่ส่วนมากเขาจะดูกันก็ คือ การดูที่กระโดงหลังของปลา ถ้าเป็นตัวเมียจะต้องมีจุดดำ ๆ ขึ้นที่ครีบหลังครับ หากดูที่ครีบหลังแล้วเห็นจุดดำ ๆ ให้มั่นใจได้เลยครับว่าประมาณ 90% เป็นตัวเมีย ( วิธีนี้จะชัวร์การดูที่ลักษณะหัวของปลาครับ )และในการเลือกซื้อปลาจะใช้วีธีนี้ในการเลือกซื้อปลามากที่สุดครับ
3.วิธีการดูที่ชัดและถูกต้องที่สุดต้องดูที่ ท่อนำไข่ ครับ ( ปลาตัวผู้จะมีอวัยวะเพศทีมีลักษณะเป็นท่อเล็ก ๆ แหลม ๆ งอ ๆ ทีเรียกกันว่า ท่อน้ำเชื้อ และอยู่ใกล้กับรูทวาร ครับ ) สำหรับปลาตัวเมีย อวัยวะเพศของปลาตัวเมีย จะมีลักษณะเป็นท่อทู่ ๆหนา ๆใหญ่ ๆยิ่งเมื่อพร้อมจะวางไข่เต็มที่ ยิ่งโผล่มาให้เห็นชัดมากเลยครับ และเมื่อตัวเมียถึงวัยเจริญพันธุ์ที่พร้อมจะวางไข่ อาการจะเห็นชัดเจนอย่างแรกเลยนะครับ คือ จะมีการทำความสะอาดพื้นที่ ที่จะว่างไข่ และตามลำตัวตัวจะมีสีออกดำ ๆ คล้ำ ๆ ทะมึน ๆ กว่าปกติ และมีแถบแนวสีดำ ตั้งฉากกับลำตัวขึ้นมาให้เห็นชัดเจนมากครับ อาการแบบนี้เรียกว่า ปลาฮีท ครับ ( ถ้าเป็นคนที่ตั้งท้องจะมีอารมณ์ที่ฉุนเฉียว หงุดหงิดง่ายครับ ) และจะมีอารมณ์ที่ ดุร้ายมากเลยครับ และถ้าตัวเมียมีอาการแบบนี้แล้วมีท่อทู่ ๆ ใหญ่ ๆโผล่ออกมาด้วยรับรองได้เลยครับว่าตัวเมียแน่นอน 100% และพร้อมที่จะผสมพันธุ์แล้วครับ
การเพาะพันธุ์ หรือ ผสมพันธุ์ปลาหมอสีครอสบรีด
จบจากการดูเพศปลาแล้วมาต่อด้วยเรื่องการผสมพันธุ์ปลากันเลยครับ สำหรับปลาตัวผู้ควรให้มีอายุ ประมาณ 1-1.2 ปีขั้นไปครับ และสำหรับตัวเมีย ควรให้มีอายุประมาณ 3-4 เดือนก็สามารถนำมาเพาะพันธุ์ได้ครับ เพราะจะทำให้มีความพร้อมในการผสมพันธุ์มากกว่าพ่อแม่ที่อายุน้อย และหากพ่อแม่พันธุ์มีอายุน้อยจะทำให้อายุการใช้งานสั้นลงครับ คือ อาจเพาะได้ไม่กี่คอก เพราะตัวผู้อาจไม่มีน้ำเชื้อครับ ในการผสมพันธุ์ควรให้ตัวผู้ มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมียซัก 2-2.5 นิ้วขึ้นไป แต่อย่าให้ถึงขนาดต่างกันมากชนิดที่ว่า ตัวเมียเล็กสุดครับไม่กันตัวเมียที่กำลังจะเป็นแม่อาจจะเปลี่ยนเป็นอาหารสำหรับตัวพ่อแทนครับ ( ห้ามให้ตัวเมียมีขนาดตัวใกล้เคียงหรือเท่ากับหรือโตกว่าตัวผู้นะครับ เพราะตัวเมียที่กำลังท้องจะดุมากๆครับอาจจะกันตัวผู้ตายก่อนครับ )เมื่อเราได้พ่อแม่พันธุ์เรียบร้อยแล้วก็มาทำการเพาะพันธุ์กันเลยครับ
ขั้นตอนการผสมพันธุ์มีดังนี้
1. ทำความสะอาดตู้เพาะพันธุ์ให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งสกปรกและเชื้อโรคอยู่ในนั้น ขนาดตู้โดยปกติการเพาะปลาหมอสีครอสบรีดนิยมใช้ตู้ 30-36 นิ้ว หรือจะใหญ่กว่านั้นก็ได้ แต่ถ้าไม่มีตู้ใหญ่ขนาดนั้นก็สามารถใช้ตู้ 24 นิ้วก็ได้ครับ
2. กั้นตู้เพาะพันธุ์แบ่งเป็น 2 ช่อง ควรใช้กระจกกั้นตู้หรือทีกั้นพลาสติกและตัวหนีบกระจกที่สามารถใส่เข้าและถอดออกได้
3. ใส่น้ำที่สะอาดในปริมาณเท่าเดิมและปราศจากคลอรีนลงไปในตู้ กรณีที่ใช้น้ำประปาควรทิ้งไว้ประมาณ2-3วัน เพื่อลดคลอรีนในกรณีที่ตู้ปลาที่ใช้เพาะพันธุ์นั้นเป็นตู้ระบบกรองให้ถอดปลั๊กของตู้กรองออกป้องกันลูกปลาไหลลงในช่องกรองนะครับ
4. ใส่หัวทรายหรือหัวปั๊มอากาศ ภายในตู้ที่กั้นไว้ และต้องแน่ใจว่าปริมาณอากาศเพียงพอสำหรับปลาในตู้ ถ้าไม่แน่ใจให้ใส่หัวทรายซัก 2 หัวก็ได้
5. นำตัวผู้และตัวเมียใส่คนละด้าน และนำถาดรองกระถางดินเผามาใส่ไว้ฝั่งตัวเมียเมื่อนำมาเทียบกันหรือที่เรียกกันว่า การเข้าคู่
6. หลังจากเทียบกันหรือเข้าคู่ ซัก 2-3วัน ก็ลองเปิดกระจกหรือที่กั้นออกดูครับ ช่วงแรกพยายามเฝ้าให้ดี ถ้าไล่กันนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ไม่เป็นไร ...แต่ถ้าไล่กันกะให้ถึงตาย ให้รีบแยกออกจากกันแล้วให้เอากระจกหรือที่กั้นกั้นไว้เหมือนเดิมครับ นั่นแสดงว่ามันยังไม่เข้าคู่กันไม่ได้ และให้ทำอย่างนี้ไปเรื่อยจนกว่าจะเข้าคู่กันได้ครับ ส่วนระยะเวลาในเข้าคู่เอาแน่เอานอนไม่ได้ครับ บางคู่ใช้เวลาเทียบนานถึง3เดือน ในขณะที่บางคู่จับใส่รวมกัน1-2 วันก็เข้าคู่กันได้ทันทีเลยครับ หรือบางคู่อยู่ด้วยกันได้1-2 อาทิตย์วัน แล้วค่อยมากัดกันก็มี แต่ถ้าลองแล้วหลายครั้งปลาเข้าคู่กันไม่ได้เปิดมาทีไรก็กัดกันเหมือนเดิมทุกครั้ง แนะนำว่าเปลี่ยนคู่ไปเลยจะดีกว่าครับ
7. เมื่อปลาเข้าคู่กันได้แล้วและเอาที่กั้นตู้ออกแล้ว ให้สังเกตุปลาตัวเมียดีๆครับ ถ้าท่อนำไข่ยื่นออกมามากแล้วให้ทำการเปลี่ยนน้ำออกประมาณ 50% และอีกไม่เกิน 2 วันปลาก็จะไข่ครับ
8. หลังจากที่ปลาตัวเมียไข่แล้วตัวผู้จะทำหน้าที่ฉีดน้ำเชื้อใส่และช่วงนี้ให้ปล่อยไว้ประมาณ 3-4 ชั่วโมง แล้วนำปลาทั้งตัวผู้และตัวเมียออกจากตู้ ( ผู้เขียนเคยปล่อยไว้ทั้งวัน ทั้งพ่อและแม่ปลาช่วยกันทำความสะอาดตู้กินไข่ทั้งหมดเลยครับ )อุณหภูมิก็เป็นอีกเรื่องที่มีความสำคัญในการวางไข่ น้ำที่เย็นเกินไป จะทำให้ปลาวางไข่ได้ยาก ช่วงที่ทำการผสมพันธุ์ ควรควบคุมอุหภูมิด้วยนะครับ โดยการเปิดไฟตู้ปลาเพื่อเพิ่มอุณหภูมิ ครับหากอากาศไม่หนาวมาก หรือถ้าจะให้ดีควรเปิด ฮีทเตอร์ครับ และ อุณหภูมิ ก็มีส่วนกำหนดเพศปลานะครับ ถ้าอากาศเย็นมากลูกปลาที่ออกมาโอกาศที่จะเป็นตัวเมียสูงมากครับ หลังจากที่ตัก พ่อและแม่ปลาออกแล้ว ให้ทำการตะแคงถาดไข่และนำหัวทรายมาเป่าบริเวณด้านบนของถาดไข่ ที่เรียกกันว่า การเป่าไข่ เพื่อเวลาไข่ฟักแล้วจะดีดตัวออกไม่ไปทับตัวที่กำลังจะฟัก
9. ประมาณ 3-5วัน จะสามารถสังเกตุที่ไข่ปลาได้ว่า ไข่ผสมติดหรือไม่ ดูได้จากไข่ปลาจะมีลักษณะ เป็นเม็ดสีดำ ๆ ขึ้นมาที่กลางไข่ หรือที่เรียกกันว่า “เม็ดสาคู” นั่นคือ ไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว แต่หากไม่มีจุดสีดำ และมีลักษณะขุ่นทึบและมีเชื้อราเกาะ นั่นแสดงว่าไข่ไม่ได้รับการผสม หรือเรียกว่า ไข่เสียหรือไข่ฝ่อ 10. หลังจากไข่ได้รับการผสมประมาณ 3-5 วัน ลูกปลาจะเริ่มทยอยฝักและดีดตัวออกมากลิ้งเล่น หากมองผ่านๆ จะมองไม่เห็นต้องสังเกตให้ดี จะคล้าย ๆ ฝุ่นกองที่พื้นตู้ แต่หากเพ่งมองดี ๆ จะเห็นตัวปลาตัวเล็กมาก ๆ มีเพียงตาดำๆ 2 ตา พยายามดิ้นดุ๊กๆดิ๊ก ๆและไม่กี่วันต่อมาจะเริ่มว่ายน้ำได้ ทีละนิด ๆ ช่วงนี้ไม่จำเป็นต้องให้อาหารอะไรเลยจะให้ก็ตอนลูกปลามีอายุ 7 วันขึ้นไป เมื่อมาถึงขั้นตอนนี้แล้ว ถือว่าคุณสามารถผสมพันธุ์มันขึ้นมาได้สำเร็จและยกระดับมาตรฐานของตัวคุณเองได้แล้วครับท่าน Breeder คนใหม่

วงศ์ปลาหมอสี

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
วงศ์ปลาหมอสี
ปลาหมอม้าลายตัวเมีย (Archocentrus nigrofasciatus)
ปลาหมอม้าลายตัวเมีย (Archocentrus nigrofasciatus)
ปลาหมอเทศ (Oreochromis mossambicus) เป็นปลาเศรษฐกิจสำคัญชนิดหนึ่ง
ปลาหมอเทศ (Oreochromis mossambicus) เป็นปลาเศรษฐกิจสำคัญชนิดหนึ่ง
วงศ์ปลาหมอสี เป็นวงศ์ปลาที่มีจำนวนชนิดมากกว่า 1,000 ชนิด นับเป็นวงศ์ปลาที่มีจำนวนชนิดมากเป็นอันดับสาม รองมาจากวงศ์ปลาตะเพียน และวงศ์ปลาบู่ วงศ์ปลาหมอสีมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cichlidae (ออกเสียงในภาษาอังกฤษว่า ซิค-ลิด-เด) ปลาในวงศ์นี้มีชื่อสามัญภาษาอังกฤษว่า cichlid (ออกเสียงว่า ซิค-ลิด) ภาษาไทยนิยมเรียกว่า "ปลาหมอสี" ปลาในวงศ์นี้ส่วนใหญ่จึงมักมีชื่อขึ้นต้นว่า "ปลาหมอ" เช่น ปลาหมอกล้วยหอม ปลาหมอเท็กซัส เป็นต้น
ปลาในวงศ์ปลาหมอสีมีลักษณะหลายหลากแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมของถิ่นกำเนิด ปลาหมอสีส่วนใหญ่เป็นปลาน้ำจืด แต่มีบางชนิดพบในน้ำกร่อย ปลาในวงศ์นี้พบมากที่สุดในทวีปแอฟริกา และทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งมีประมาณ 900 และ 290 ชนิดตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีบางชนิดพบได้ในตอนล่างของทวีปอเมริกาเหนือ อีกสี่ชนิดพบในตะวันออกกลาง และอีกสามชนิดพบในอินเดีย ปลาในวงศ์ปลาหมอสีมีความสำคัญต่อมนุษย์ในหลายลักษณะ ปลาบางชนิด เช่น ปลานิล จัดเป็นปลาเศรษฐกิจที่เลี้ยงง่าย โตเร็ว ในขณะที่ปลาอีกหลายชนิดเป็นปลาตู้สวยงาม เช่น ปลาเทวดา ปลาปอมปาดัวร์ และ ปลาออสการ์