การเพาะพันธุ์ปลา กุ้งก้ามกราม ในสมัยก่อน คือประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา มักจะพบปัญหาสำคัญยิ่งประการหนึ่งคือ ลูกปลาลูกกุ้งวัยอ่อนที่มีอายุย่างเข้าวันที่ 3 มักจะมีอัตราการตายสูง แม้จะมีความพยายามคิดค้นหาอาหารสำหรับสัตว์น้ำวัยอ่อนพวกนี้ โดยใช้ไข่แดงต้มสุกละลายน้ำหรือนมผงมาเลี้ยงแล้วก็ตาม แต่ปัญหาที่ว่านั้นก็เพียงแต่ทุเลาเบาบางลงเท่านั้น ไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างสมบูรณ์ เพราะอาหารเหล่านั้นมีคุณค่าทางอาหารไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ และทำให้เกิดน้ำเสียขึ้นอีกต่างหาก หรือให้แล้วลูกสัตว์น้ำไม่ยอมรับ
ต่อมาจึงมีนักเพาะเลี้ยงที่มีวิสัยทัศน์ล้ำหน้าคนอื่น ไปรวบรวมไรแดงจากแหล่งน้ำเสียต่างๆ ในชุมชนแออัด และเล้าไก่ เล้าหมูที่มีบ่อพักน้ำเสียอยู่ มาใช้เป็นอาหารเลี้ยงลูกสัตว์น้ำวัยอ่อนเหล่านี้ ก็สามารถแก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังคงมีข้อจำกัดหรืออุปสรรคอยู่บ้างตรงที่ปริมาณไรแดงมีมากบ้าง น้อยบ้าง หรือหาแทบไม่ได้เลยในบางฤดูกาล
นักวิชาการของกรมประมงที่เข้าใจปัญหาและความยุ่งยากนี้ดีบางท่าน เช่น คุณวีระ วัชรกรโยธิน คุณสันทนา ดวงสวัสดิ์ คุณภาณุ เทวรัตน์มณีกุล และ คุณสำรวย เสร็จกิจ จึงคิดค้นวิธีการเพาะเลี้ยงไรแดงขึ้นเพื่อแก้ปัญหานี้จนประสบความสำเร็จ และกรมประมงก็ได้เผยแพร่เอกสารวิชาการนี้ให้แก่ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทั่วประเทศมานับ 10 ปีเศษแล้ว แต่ความรู้นี้อาจจะยังเผยแพร่ไปไม่ถึงทั่วทุกคน ผมจึงนำมาเล่าต่อไว้ในที่นี้ เพื่อประโยชน์ของนักเพาะพันธุ์สัตว์น้ำทุกคน
ชีววิทยาของไรแดงเป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราเมื่อจะทำธุรกิจในเรื่องใดก็ควรที่จะทำความรู้จักกับสิ่งนั้นๆ ก่อน เพื่อนำมาพิจารณาว่าเหมาะกับความรู้ความสามารถและฐานะทางการเงินของตนหรือไม่ เข้าทำนอง รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ก็ชนะทั้งร้อยครั้ง นั่นแล
ไรแดง เป็นสัตว์น้ำขนาดจิ๋วจำพวกเดียวกับกุ้ง ปูนั่นเอง ชอบอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืดที่ค่อนข้างสกปรก เช่น แหล่งน้ำตามชุมชนแออัด เล้าหมู เล้าไก่ จัดว่าเป็นอาหารธรรมชาติอย่างดีของลูกปลา ลูกกุ้งวัยอ่อนในแหล่งน้ำธรรมชาติ นับว่าเป็นห่วงโซ่ข้อที่สำคัญมากที่ช่วยเชื่อมต่อให้ลูกสัตว์น้ำต่างๆ ที่จะเริ่มกินอาหารจากภายนอกหลังจากถุงไข่แดงที่แม่ให้มาหมดลง ได้อาศัยเป็นอาหารเลี้ยงตัวให้เติบโตและเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ได้ในที่สุด ถ้าปราศจากไรแดงแล้วลูกสัตว์น้ำคงอดอาหารจนตายไปหมด สัตว์น้ำต่างๆ คงจะต้องสูญพันธุ์ไป และส่งผลมายังห่วงโซ่ข้อสุดท้ายคือ มนุษย์เรา ก็จะขาดสัตว์น้ำเพื่อบริโภคไปด้วย
การสืบพันธุ์ของไรแดง
แม้ว่าจะเป็นสัตว์น้ำขนาดเล็กจิ๋วก็ตามเถอะ แต่ไรแดงก็มีการแยกเพศผู้เพศเมียอย่างชัดเจนเหมือนมนุษย์เรา แต่เพศเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าเพศผู้ ลำตัวอ้วนกลม ขนาดเฉลี่ยประมาณ 1.3 มิลลิเมตร ส่วนเพศผู้จะมีรูปร่างเพรียวค่อนข้างยาว มีขนาดเฉลี่ยประมาณ 0.5 มิลลิเมตรเท่านั้น ในภาวะที่สิ่งแวดล้อมมีความเหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของไรแดง สัดส่วนเพศในประชากรไรแดงจะมีไรแดงเพศผู้เพียง 5% และมีไรแดงเพศเมีย 95% และในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเช่นนี้ ไรแดงจะมีการสืบพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศ ไรแดงเพศเมียจะสร้างไข่ในตัวเอง แล้วไข่สามารถฟักออกเป็นตัวอ่อนได้เลย โดยไม่ต้องผสมพันธุ์กับไรแดงเพศผู้ โดยปกติไรแดงจะมีอายุสั้นมากเพียง 4-6 วัน ก็ตาย แต่แม่ไรแดงสามารถสร้างไข่ตามวิธีนี้ได้เฉลี่ย 3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 19-23 ตัว
แต่เมื่อใดก็ตาม หากสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของไรแดง เช่น อุณหภูมิของน้ำต่ำหรือสูงเกินไป คุณสมบัติของน้ำเป็นกรดหรือด่างมากเกินไป หรืออาหารขาดแคลนลง ไรแดงก็มีกลยุทธ์พิเศษที่จะสามารถฝ่าวิกฤตกาล เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ไว้ในโลกเบี้ยวๆ ใบนี้ได้ด้วยการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศโดยการเพิ่มจำนวนเพศผู้ให้มากขึ้น ส่วนเพศเมียก็จะสร้างไข่ขึ้นอีกชนิดหนึ่ง แล้วผสมพันธุ์กับตัวผู้ ซึ่งในตอนนี้เริ่มมีความสำคัญมากขึ้น จะได้ไข่ที่ผสมน้ำเชื้อแล้วอยู่ในรูปแคปซูลหนา จำนวน 2 ฟอง เมื่อวางไข่แล้วแคปซูลไข่นี้สามารถทนทานต่อความร้อน ความเย็น และความแห้งได้ดีเป็นเวลานานนับปี รอจนกว่าสภาพแวดล้อมคืนสู่ภาวะที่ดีและเอื้อต่อการดำรงชีวิต แคปซูลไข่นี้ก็จะฟักออกเป็นตัวอ่อนแล้วเจริญเติบโตเป็นไรแดงต่อไป
การเพาะเลี้ยงไรแดง1. ปัจจัยสำคัญต่างๆ ในการเพาะเลี้ยงไรแดง1.1 แสงอาทิตย์เป็นผู้ให้พลังงานแก่พืชน้ำขนาดจิ๋วที่เรียกว่าแพลงตอนพืชเพื่อใช้ในกระบวนการสังเคราะห์แสงเพื ่อสร้างเนื้อเยื่อต่างๆ ในการเจริญเติบโตและขยายพันธุ์เพื่อเป็นอาหารของไรแดง
1.2 อากาศ ซึ่งมีส่วนประกอบของไนโตรเจน ออกซิเจน และคาร์บอนไดออกไซด์ ที่จำเป็นต่อพืชน้ำในการสังเคราะห์แสง
1.3 ปุ๋ย หรือธาตุอาหารต่างๆ เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม คาร์บอน แคลเซียม ซิลิคอน ซึ่งจะเป็นปุ๋ยแก่แพลงตอนพืชในกระบวนการสังเคราะห์แสง โดยมีแสงอาทิตย์เป็นผู้ให้พลังงาน ผลที่ได้จากการสังเคราะห์แสงนี้นอกจากพวกแพลงตอนพืชหลากหลายชนิด เช่น พวกยูกลีนา (Euglena) คลอเรลลา (Chlorella spp.) แล้วยังมีพวกแพลงตอนสัตว์ เช่น พวกสัตว์เซลล์เดียวหลายชนิด แม้กระทั่งพวกบัคเตรี ซึ่งมีทั้งแบบที่มีรูปร่างเป็นแท่ง และแบบกลม ซึ่งล้วนแต่เป็นอาหารจานโปรดของไรแดงทั้งสิ้น
2. อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ในการเพาะพันธุ์ไรแดง2.1 บ่อซีเมนต์ และ/หรือบ่อดิน เพื่อใช้เป็นบ่อผลิตบ่อซีเมนต์ ที่เหมาะสมควรมีรูปร่างเป็นรูปไข่ แต่ถ้ามีบ่อซีเมนต์รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าอยู่แล้ว ก็สามารถปรับปรุงได้โดยโบกปูนเพื่อลบเหลี่ยมของมุมบ่อ ทั้งนี้เพื่อให้น้ำภายในบ่อสามารถไหลเวียนได้สะดวก
ขนาดของบ่อซีเมนต์ ขึ้นอยู่กับความต้องการผลผลิตไรแดงเป็นหลัก ตามปกติบ่อซีเมนต์ขนาด 5x10 เมตร ลึก 60 เซนติเมตร จะให้ผลผลิตจากการเพาะพันธุ์ไรแดง รอบละประมาณ 12 กิโลกรัม ในเวลา 7 วัน เราก็สามารถกำหนดขนาด และจำนวนของบ่อซีเมนต์ได้
2.2 เครื่องเป่าลม เพื่อเพิ่มออกซิเจนและช่วยทำให้เกิดการหมุนเวียนของน้ำในบ่อเพาะพันธุ์ไรแดง ปัจจุบันมีผู้สร้างขายแบบเมดอินไทยแลนด์ ราคาตั้งแต่ 2,500-7,500 บาท ต่อเครื่อง แล้วแต่กำลังม้าของมอเตอร์ โดยใช้สายพลาสติคใสอย่างหนา ต่อจากเครื่องเป่าลมให้ยาวถึงก้นบ่อ แล้วใช้ท่อเอสลอนขนาด 6 หุน ยาวเกือบเท่าความยาวของบ่อและเจาะรูด้วยดอกสว่านเบอร์เล็กที่สุด ให้มีระยะห่างของรูประมาณ 50 เซนติเมตร โดยมีฝาปิดปลายท่อด้วย ต่อเข้าไปก็ใช้ได้แล้ว
2.3 ผ้ากรองแพลงตอน ควรใช้ผ้ากรองที่ละเอียดหน่อย คือมีขนาดช่องตาประมาณ 69 ไมครอน เพื่อกรองศัตรูหรือคู่แข่งของไรแดง เช่น ลูกยุง หรือแม้กระทั่งโรติเฟอร์ที่จะมาแย่งอาหารของไรแดง และใช้กรองไรแดงตอนเก็บเกี่ยวผลผลิตด้วย
3. วัสดุที่จำเป็น
3.1 น้ำเขียว ซึ่งมีส่วนประกอบของแพลงตอนพืช เช่น สาหร่ายสีเขียวแกมเหลือง ที่ชื่อคลอเรลล่า (Chlorella sp.) เป็นหลัก ซึ่งอาจจะได้จากการนำเชื้อคลอเรลล่าที่อาจจะขอได้จากสถานีประมงน้ำจืดบางแห่ง เช่น สถานีประมงน้ำจืดปทุมธานี แล้วนำมาขยายพันธุ์โดยมีสูตรของส่วนผสมต่างๆ ที่จะกล่าวถึงต่อไป หรือนำมาจากบ่อเลี้ยงกุ้งเลี้ยงปลาที่มีน้ำเป็นสีเขียวเข้ม โดยใช้เครื่องไดโว่สูบเข้ามาใส่บ่อเพาะไรแดงโดยตรงเลยก็ได้ แต่ต้องไม่ลืมใช้เนื้ออวนมุ้งเขียวห่อหุ้มหัวกระโหลกของท่อดูด และใช้ผ้ากรองแพลงตอนห่อหุ้มหรือเย็บเป็นถุงยาว มัดติดปลายท่อส่งน้ำเข้าบ่อไว้ก็ได้ เพื่อป้องกันศัตรูของไรแดงไม่ให้ติดเข้าบ่อ
3.2 หัวเชื้อไรแดงมีชีวิต ควรคัดเลือกไรแดงที่แข็งแรง มีสีแดงเรื่อๆ มาไว้เป็นพ่อแม่พันธุ์
3.3 อามิ-อามิ เป็นกากที่เกิดขึ้นจากการทำผงชูรสของบริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ ที่เรียกกันตามภาษาวิชาการว่า กลูตามิค มาเทอร์ ลิควิด (Glutamic Mother Liquid) มีชื่อย่อว่า จีเอ็มแอล (GML) ซึ่งประกอบด้วยแร่ธาตุ ไนโตรเจน 4.2% และฟอสฟอรัส 0.2% ซึ่งควรใช้ทั้งน้ำและตะกอนรวมกัน ถ้าใช้แล้วเกิดการตกตะกอนมากเกินไปควรลดปริมาณลงบ้าง เพื่อป้องกันการเน่าเสียของน้ำ
3.4 เอนไซม์ชีวภาพที่มีคุณภาพดี เพื่อช่วยย่อยสลายรำปลาป่น และกากถั่วที่ใช้ในสูตรต่างๆ จะช่วยให้เกิดน้ำเขียวเร็วขึ้นและเข้มข้นขึ้น ซึ่งก็หมายถึงว่าในน้ำเขียวจะมีแร่ธาตุต่างๆ ถูกปลดปล่อยออกมามากขึ้น ส่งผลให้เกิดบัคเตรีและแพลงตอนพืชเพิ่มขึ้นด้วย
3.5 วัสดุผสมของปลาป่น กากถั่ว และรำอ่อน ในอัตราส่วน 2:3:4 โดยน้ำหมักสำหรับใช้แทนอามิ-อามิ
3.6 ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ชนิดต่างๆ
- ปุ๋ยนา สูตร 16-20-0
- ปุ๋ยซุปเปอร์ฟอสเฟต สูตร 0-46-0
- ปุ๋ยยูเรียหรือปุ๋ยน้ำตาล สูตร 46-0-0
ในการใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์เหล่านี้ต้องละลายน้ำให้หมดก่อนใช้ เพื่อป้องกันการตกตะกอนในบ่อเพาะไรแดง
3.7 ปูนขาว ใช้เพื่อปรับระดับความเป็นกรด-ด่าง (พีเอช) ของน้ำในบ่อเพาะไรแดง ให้มีพีเอชประมาณ 8 คือ เป็นด่างเล็กน้อยและเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ ให้แพลงตอนพืชด้วย
4. วิธีการเพาะไรแดงการเพาะไรแดงนั้น มี 2 วิธี คือ แบบต่อเนื่อง และแบบไม่ต่อเนื่อง
4.1 การเพาะแบบต่อเนื่อง
หมายถึงการเพาะไรแดงครั้งหนึ่งๆ แล้วสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตไรแดงได้หลายวันภายในบ่อเดียวกัน ดังนั้น เราจึงต้องเพาะไรแดงครั้งละอย่างน้อย 4 บ่อ พร้อมกัน เพราะการเพาะไรแดงโดยวิธีนี้ต้องคำนึงถึงการปนเปื้อนเข้ามาของศัตรูของไรแดง เพราะเราอาจต้องมีการเติมน้ำเขียวเป็นครั้งคราวเพื่อเป็นการเพิ่มเติมอาหารให้แก่ไรแดง และต้องมีการถ่ายน้ำเก่าออกบ้าง แล้วเติมน้ำใหม่ลงไปทดแทนบ้าง เพื่อลดระดับความเป็นพิษของแอมโมเนียหรือสารพิษอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในบ่อระหว่างการเพาะไรแดง แต่ปัญหาเรื่องความเป็นพิษของแอมโมเนีย หรือสารพิษอื่นๆ นี้ ปัจจุบันสามารถแก้ปัญหาได้โดยการเติมเอนไซม์ชีวภาพลงไปประมาณ 3-5 พีพีเอ็ม (ppm) หรือประมาณ 100 ซีซี หรือครึ่งแก้วน้ำดื่มทั่วไป เพื่อสลายแอมโมเนีย ก็สามารถลดงานและค่าใช้จ่ายลงได้มาก
4.2 การเพาะแบบไม่ต่อเนื่อง
คือการเพาะไรแดงแบบเก็บเกี่ยวผลผลิตเพียงครั้งเดียวให้หมดบ่อเลย การเพาะแบบนี้ต้องใช้บ่อเพาะ 4 บ่อ เช่นเดียวกัน แต่ทยอยเพาะวันละ 1 บ่อ ทุกวัน เพื่อให้มีผลผลิตไรแดงทุกวันอย่างต่อเนื่อง การเพาะแบบนี้จะได้ผลผลิตไรแดงสูงและค่อนข้างแน่นอน ไม่ต้องคำนึงถึงการปนเปื้อนของศัตรูไรแดง และการสะสมของสารพิษที่จะเกิดขึ้น เพราะใช้เวลาสั้นเพียง 6-7 วัน
ในการเพาะไรแดงนั้น มีสูตรการใช้ปุ๋ยและวัสดุประกอบอื่นๆ ที่นักวิชาการได้คิดค้นและทดลองใช้จนได้ผลน่าพอใจอยู่ 3 สูตร สำหรับใช้กับบ่อปูนซีเมนต์ ขนาด 5x10 เมตร ลึก 60 เซนติเมตร ที่ตั้งอยู่กลางแจ้ง ดังนี้
สูตรที่ 1 เติมน้ำสะอาดใส่บ่อให้ระดับความสูงของผิวน้ำประมาณ 20 เซนติเมตร ซึ่งจะได้น้ำปริมาณ 10 ตัน หรือ 10,000 ลิตร แล้วใส่ อามิ-อามิ 5 ลิตร ปุ๋ยนา สูตร 16-20-0 จำนวน 2 กิโลกรัม รำ 5 กิโลกรัม และปูนขาว 3 กิโลกรัม จะได้ผลผลิตไรแดง 11-13 กิโลกรัม ต่อบ่อ
สูตรที่ 2 ใช้อามิ-อามิ 30 ลิตร ปุ๋ยนา สูตร 16-20-0 จำนวน 0.5 กิโลกรัม โพแทสเซียมไนเตรต (KNO3) 1 กิโลกรัม ซุปเปอร์ฟอสเฟต (P2O5) สูตร 0-46-0 จำนวน 130 กรัม จะได้ผลผลิตไรแดง 12-13 กิโลกรัม ต่อบ่อ
สูตรที่ 3 ใช้ อามิ-อามิ 5 ลิตร โพแทสเซียมไนเตรต 0.5 กิโลกรัม ยูเรีย สูตร 46-0-0 จำนวน 0.5 กิโลกรัม ปุ๋ยนา สูตร 16-20-0 จำนวน 1 กิโลกรัม รำ 5 กิโลกรัม ปูนขาว 3 กิโลกรัม จะได้ผลผลิตไรแดง 11-12 กิโลกรัม ต่อบ่อ
ในกรณีที่ไม่ใช้ อามิ-อามิ ให้ใช้วัสดุผสมของปลาป่น กากถั่ว และรำอ่อน ในสัดส่วน 2:3:4 โดยน้ำหนักจำนวน 3-5 กิโลกรัม แทนอามิ-อามิ
ขั้นตอนในการเพาะไรแดง1. การเพาะแบบไม่ต่อเนื่อง
1.1 ทำความสะอาดบ่อซีเมนต์ แล้วตากบ่อไว้ 1 วัน
1.2 เติมน้ำสะอาดลงบ่อพร้อมๆ กับละลายปุ๋ยสูตรใดสูตรหนึ่งที่เลือกไว้ จนได้ระดับน้ำสูง 20 เซนติเมตร
1.3 สูบน้ำเขียวประมาณ 1-2 ตัน (1,000-2,000 ลิตร) ลงในบ่อเพื่อเป็นเชื้อน้ำเขียว ระยะนี้ควรเดินคนน้ำบ่อยๆ เพื่อป้องกันการตกตะกอน หรืออาจใช้วิธีเปิดปั๊มลมในบ่อแทนก็ได้ ให้เวลาแพลงตอนพืชในบ่อขยายพันธุ์เพิ่มขึ้นจนมีสีเขียวเข้มข้น ซึ่งจะใช้เวลา 2-3 วัน แล้วแต่แสงแดดมีมากน้อยแค่ไหน
1.4 เมื่อน้ำเขียวเต็มที่แล้ว นำไรแดงมีชีวิตประมาณ 2 กิโลกรัม มาปล่อยลงในบ่อ ให้เวลาไรแดงเติบโตและขยายพันธุ์สัก 3-4 วัน ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตไรแดงได้ทั้งหมด ประมาณ 12 กิโลกรัม โดยใช้เวลาในการเพาะรอบละประมาณ 7 วัน
2. การเพาะแบบต่อเนื่อง
2.1 เมื่อดำเนินการเพาะแบบไม่ต่อเนื่องมาจนถึงข้อ 1.4 แล้ว เราก็เก็บเกี่ยวผลผลิตของไรแดงขึ้นมาใช้ประโยชน์เพียงครึ่งเดียวของผลผลิตทั้งหมด คือประมาณ 5-6 กิโลกรัม เท่านั้น ส่วนที่เหลือในบ่อเก็บไว้ทำพันธุ์ แล้วต่อเนื่องด้วย
2.2 ถ่ายน้ำเก่าออกครึ่งหนึ่ง ให้เหลือเพียง 10 เซนติเมตร แล้วเติมน้ำสะอาดและน้ำเขียวลงไปอย่างละ 5 เซนติเมตร และเติมสารเอนไซม์ชีวภาพคุณภาพดี ประมาณ 100 ซีซี จะได้ระดับน้ำสูง 20 เซนติเมตร เหมือนเดิม แล้วเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตไรแดงได้ในวันรุ่งขึ้นเพียงครึ่งเดียวของผลผลิตทั้งหมด ทำเช่นนี้ทุกวันจนกว่าผลผลิตไรแดงลดลงอย่างต่อเนื่อง จึงล้างบ่อเพื่อเพาะรอบใหม่ต่อไป ซึ่งผลผลิตของไรแดงทั้งหมดต่อ 1 รอบ จะได้น้ำหนักประมาณ 25 กิโลกรัม ในเวลา 12 วัน หลังจากนี้ควรล้างบ่อ ทำความสะอาดเพื่อเริ่มเพาะรอบใหม่
ปัจจุบัน นักวิชาการของกรมประมงได้คิดค้นและพัฒนาวิธีการเพาะไรแดงแบบต่อเนื่องให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นอีก โดยการทยอยใส่ปุ๋ยอาหารไรแดงและน้ำเป็นระยะๆ ซึ่งจะห่างกัน 3 วัน ดังนี้
1. เตรียมบ่อปูนซีเมนต์ ขนาด 10x5 เมตร ลึก 60 เซนติเมตร โดยทำความสะอาดพื้นบ่อ ตากบ่อ 1 วัน พร้อมติดตั้งท่อลมภายในบ่อให้เรียบร้อย เพื่อใช้ในระหว่างการเพาะไรแดงตลอดเวลา
2. เติมน้ำและปุ๋ยใส่บ่อตามตารางในระยะที่ 1 และใส่น้ำเขียวเพื่อเป็นเชื้อประมาณ 1,000-2,000 ลิตร ส่วนในระยะที่ 2 และ 3 ใส่เฉพาะน้ำและปุ๋ย รวมทั้งปูนขาวตามตาราง โดยไม่ต้องใส่น้ำเขียวอีก
3. เมื่อเติมปุ๋ยและน้ำรวมทั้งปูนขาวตามระยะที่ 3 เสร็จแล้ว เป็นเวลา 3 วัน ก็นำเชื้อไรแดงมาปล่อยลงบ่อ บ่อละ 3-5 กิโลกรัม
4. เมื่อเติมเชื้อไรแดงได้ 3-4 วัน แล้วจะสังเกตเห็นว่า น้ำจะเป็นสีแดงหมดทั้งบ่อ และน้ำมีสีเขียวจางลงมาก แสดงว่าเกิดไรแดงเป็นจำนวนมาก และไรแดงได้กินแพลงตอนพืชสีเขียวในน้ำไปจนเกือบหมดบ่อแล้ว ก็เริ่มเก็บเกี่ยวไรแดงขึ้นมาใช้ได้เป็นระยะๆ จนหมดบ่อ
5. การเพาะไรแดงตามวิธีนี้ จะใช้เวลารอบละประมาณ 12-14 วัน ซึ่งจะให้ผลผลิตไรแดงสูงกว่าวิธีเก่าๆ ที่กล่าวแล้วมาก คือบ่อละ ประมาณ 42-45 กิโลกรัม แต่ถ้าไม่มีเครื่องปั๊มลมให้น้ำในบ่อ ผลผลิตไรแดงจะน้อยลง คือได้บ่อละประมาณ 35-41 กิโลกรัม
เทคนิคที่ควรทราบ1. น้ำที่จะใช้ในบ่อเพาะไรแดง ควรกรองด้วยผ้ากรองเสียก่อนเพื่อป้องกันศัตรูและคู่แข่งของไรแดงในธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่มากมาย เช่น ลูกน้ำ ลูกปลาวัยอ่อนที่มีขนาดเล็ก แมลงน้ำบางชนิด และลูกกุ้ง เป็นต้น
2. น้ำเขียว เปรียบเสมือนเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตของไรแดง ซึ่งมีอาหารของไรแดงอยู่มากมายหลายชนิดอย่างครบถ้วน ตั้งแต่บัคเตรีชนิดต่างๆ แพลงตอนพืช ซึ่งประกอบด้วยสาหร่ายเซลล์เดียวหลากหลายชนิด และสัตว์เซลล์เดียวอีกนับสิบนับร้อยชนิด ซึ่งบางชนิดก็อาจเป็นศัตรูและคู่แข่งของไรแดง เช่น โรติเฟอร์ ซึ่งเป็นคู่แข่งตัวฉกาจที่คอยแย่งอาหารไรแดง ซึ่งบางครั้งการเพาะไรแดงต้องล่ม ไรแดงเกิดน้อยเพราะขาดอาหาร หรือตัวอ่อนของไฮดร้า (Hydra) ที่เมื่อเติบโตขึ้นจะคอยจับไรแดงกินเป็นอาหาร เป็นต้น ดังนั้น ต้องกรองน้ำเขียวด้วยผ้ากรองแพลงตอนเสียก่อนที่จะลงบ่อ
3. เมื่อผลผลิตของไรแดงในบ่อเริ่มลดลง ควรเปลี่ยนน้ำประมาณครึ่งบ่อ แล้วเพิ่มน้ำใหม่ และใส่ปุ๋ยตามสูตรต่างๆ ที่ให้ไว้เพิ่มเติมลงไป จะช่วยให้ไรแดงเพิ่มจำนวน มีความหนาแน่นขึ้นมาได้ในระดับหนึ่ง
4. การให้ออกซิเจนแก่ไรแดงจะช่วยให้ไรแดงขยายพันธุ์ได้รวดเร็วขึ้น เช่นเดียวกับบัคเตรีและสัตว์เซลล์เดียวอื่นๆ ในบ่อเพาะไร
5. การกวนน้ำหรือปั่นน้ำให้ไหลเวียน จะช่วยให้ปุ๋ยหรือแร่ธาตุอาหารของแพลงตอนพืชฟุ้งกระจายวนเวียนอยู่ในน้ำ ไม่ตกตะกอน แพลงตอนพืชก็จะได้ปุ๋ยอย่างต่อเนื่อง และขยายพันธุ์ได้มากและรวดเร็วขึ้น
6. แสงแดดเป็นปัจจัยที่จำเป็นและสำคัญยิ่งต่อการสังเคราะห์แสงของแพลงตอนพืชที่เป็นอาหารหลักของไรแดง ไม่ควรสร้างหลังคาคลุมบ่อ หรือพรางแสงที่จะส่องลงบ่อเพาะไรแดงแต่อย่างใดทั้งสิ้น
7. อุณหภูมิ เป็นปัจจัยสำคัญอีกตัวหนึ่งที่มักจะมาคู่กับแสงแดด อุณหภูมิของน้ำที่สูงพอเหมาะจะช่วยให้ไรแดงสามารถเติบโตได้รวดเร็วขึ้น และช่วยให้เกิดผลผลิตที่สูงภายในระยะเวลาที่สั้นกว่าในน้ำที่มีอุณหภูมิต่ำ
เอาละครับ ผมคิดว่าเทคนิคทั้ง 7 ประการ ที่ผมยกมาให้ทราบนี้ คงพอจะครอบคลุมปัญหาที่ผู้เพาะไรแดงประสบอยู่เสมอๆ ได้ พอสมควรแล้ว ทีนี้ผมจะว่าถึงเรื่องการเก็บรักษาไรแดงให้มีคุณภาพดีและสดอยู่เสมอ เพื่อให้สมกับที่เราสู้อุตส่าห์ลงทุนและยอมเหน็ดเหนื่อยกับการเพาะไรแดงออกมามากมาย ถ้าไม่รู้จักวิธีถนอมคุณภาพให้ดีก็จะเข้าทำนอง เรือล่มเมื่อจอดท่า เหมือนกับการไม่รู้จักถนอมคุณภาพของผลผลิตเกษตรอื่นๆ เช่น พืช ผัก ผลไม้ ไข่ไก่ เนื้อไก่ นั่นแหละ ซึ่งบางครั้งเห็นแล้วนึกเสียดายแทนจริงๆ
สำหรับไรแดง นักวิชาการเขาแนะนำวิธีการเก็บรักษาไว้ดังนี้ครับ
1. วิธีแช่แข็ง
โดยกรองเอาแต่ตัวไรแดงมาบรรจุใส่ถุงพลาสติคขนาดเล็ก ถึงขนาดกลาง กะว่าความเย็นสามารถเข้าถึงไรแดงได้โดยตลอดภายในถุง เข้าตู้แช่ความเย็นจัดทันที จะทำให้สามารถเก็บรักษาไรแดงไว้ได้นาน และยังสดอยู่เสมอแม้ว่าจะเป็นไรแดงที่ตายแล้วก็ตาม ก็สามารถนำไปเป็นอาหารเลี้ยงลูกสัตว์น้ำวัยอ่อนบางชนิดได้ แต่ต้องให้ทีละน้อย เพราะถ้าให้มากเกินไป ลูกสัตว์น้ำกินไม่หมด อาจเน่าทำให้น้ำเสียได้
2. เก็บในอุณหภูมิต่ำ
โดยบรรจุไรแดงมีชีวิตและมีน้ำประมาณ 50% ของปริมาณไรแดงลงในถุง มัดปากถุงให้แน่น แล้วเก็บไว้ในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิ 10 องศาเซลเซียส ไรแดงจะมีชีวิตอยู่ได้นาน 4 วัน ซึ่งในวันที่ 3 ไรแดงจะวางไข่สีขุ่นหรือสีชมพู ซึ่งเป็นไข่ชนิดที่แม่ไรแดงต้องผสมพันธุ์กับพ่อไรแดงเสียก่อน ที่มักจะเกิดขึ้นในยามที่ไรแดงต้องประสบกับสภาพแวดล้อมที่ผิดปกติ เช่น เมื่อน้ำมีอุณหภูมิต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส หรือมีสภาพเป็นกรด-ด่าง ต่ำกว่าหรือสูงกว่า 6 เป็นต้น
ผู้เพาะไรแดงเป็นอาชีพ นอกจากจะรู้วิธีการเก็บรักษาไรแดงแล้ว ยังต้องรู้วิธีการลำเลียงขนส่งไรแดงในสภาพมีชีวิตให้แก่ลูกค้าด้วย เพื่อจะขายได้ราคาดีกว่าไรแดงที่ตายแล้ว ซึ่งนักวิชาการเขาแนะนำไว้ ดังนี้ครับ
ขนส่งไรแดงโดยการทำให้ไรแดงสลบหรืออยู่ในสภาพซึมเซา เพื่อลดกระบวนการเผาผลาญพลังงานในตัวเอง โดยนำไรแดงแช่ในน้ำเย็นจัด หรือน้ำแข็งละลายน้ำสัก 1-2 วินาที แล้วรีบบรรจุในถุงพลาสติคที่มีน้ำสะอาด วางอยู่ในภาชนะที่มีน้ำแข็งโรยและกลบถุงไว้โดยรอบ แล้วนำส่งลูกค้า วิธีนี้นับว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด
2. สำหรับการขนส่งในระยะทางไม่ไกลนัก ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2-3 ชั่วโมง ควรใช้วิธีบรรจุในถุงที่มีน้ำสะอาดแล้วอัดออกซิเจนเหมือนการบรรจุลูกปลา แล้วใช้น้ำแข็งโรยรอบๆ ถุง ขนส่งโดยใช้รถยนต์ปรับอากาศ หรือหากไม่มีน้ำแข็งก็ไม่ต้องใช้ถ้าระยะทางไม่ไกลนัก เพียงแค่ขนส่งโดยรถยนต์ปรับอากาศก็พอใช้ได้